โพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ หลังจากที่เธอระบายความรู้สึกเกี่ยวกับการรักษาลูกชายที่ผ่าตัดไส้ติ่งแตกที่โรงพยาบาลชื่อดัง โดยหญิงรายนี้ไม่พอใจการงดน้ำงดอาหารและการไม่เย็บแผลให้ลูก จนตัดสินใจพาลูกกลับมารักษาต่อที่บ้าน
โพสต์นี้ถูกลบออกไปจากเฟซบุ๊กหลังจากได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคม โดยเฉพาะคำขู่ทำร้ายพยาบาล และความไม่เข้าใจในกระบวนการรักษาที่ถูกต้อง เช่น การงดน้ำงดอาหารในกรณีของไส้ติ่งแตก ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ปกติและจำเป็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หรือ "หมอเจด" ได้โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กอธิบายถึงการรักษาไส้ติ่งแตกอย่างละเอียด โดยระบุว่า การผ่าตัดไส้ติ่งแตกจัดอยู่ในประเภทแผลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ หรือที่เรียกว่า "แผลสกปรก" (Dirty Wound) ซึ่งมีความแตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไป
นายแพทย์เจษฎ์อธิบายว่า การผ่าตัดช่องท้องจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามระดับความเสี่ยงในการติดเชื้อ
สำหรับไส้ติ่งแตกนั้น แพทย์ไม่สามารถเย็บแผลได้ทันที เนื่องจากการเย็บแผลจะทำให้หนองหรือสิ่งสกปรกที่หลุดออกจากไส้ติ่งไม่สามารถระบายออกมาได้ ทำให้เกิดการสะสมของหนองภายในช่องท้อง ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง หรือเกิดฝีบริเวณแผลได้ ในบางกรณีสิ่งเหล่านี้อาจกระจายไปในช่องท้องและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องผ่าตัดซ้ำ
นายแพทย์เจษฎ์ยังกล่าวว่า การให้ยาฆ่าเชื้อหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญในกรณีของไส้ติ่งแตก เนื่องจากการติดเชื้อในช่องท้องอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยทั่วไปจะใช้ยาฆ่าเชื้อเป็นระยะเวลา 7-14 วัน หลังผ่าตัด หากไม่มีปัญหาอะไร
การที่ไม่เย็บแผลทันทีหลังจากผ่าตัดไม่ใช่การละเลย แต่เป็นการชะลอการเย็บเพื่อให้ร่างกายมีโอกาสฟื้นตัวจากการติดเชื้อและทำให้หนองหรือสิ่งสกปรกสามารถระบายออกจากช่องท้องได้อย่างปลอดภัย โดยแพทย์มักจะเย็บแผลหลังจากผ่านไปประมาณ 3-7 วัน หากไม่มีปัญหาหรือการติดเชื้อ
นายแพทย์เจษฎ์กล่าวต่อว่า การงดน้ำและอาหารในระยะเวลานานหลังผ่าตัดไส้ติ่งแตกเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากการที่ไส้ติ่งแตกอาจทำให้เกิดการรั่วในทางเดินอาหาร การรีบให้อาหารหรือของเหลวอาจทำให้เกิดการรั่วในลำไส้ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการผ่าตัดใหม่อีกครั้ง ซึ่งการงดอาหารจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
หมอเจดยังได้ฝากคำแนะนำว่า การแสดงความโกรธหรือการขู่ทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะการรักษาของพยาบาลและแพทย์ทุกคนจะดำเนินการตามคำสั่งของแพทย์ผู้ผ่าตัด ซึ่งมีเป้าหมายเดียวคือการรักษาผู้ป่วยให้ปลอดภัย และขอให้ทุกคนฟังเหตุผลและเข้าใจการรักษาก่อนที่จะตัดสินใจอะไรอย่างเร่งรีบ
ภาพ - ข้อมูลจาก หมอเจด