"นอนกรน" อาจเป็นสัญญาณของต่อมอะดีนอยด์โต
ภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นในเด็กเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุหลักของภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นในเด็กที่พบได้บ่อยมากขึ้นในยุคปัจจุบันคือ โรคภูมิแพ้ที่ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจบวมจนตีบแคบ หายใจลำบากและต่อมทอนซิลกับต่อมอะดีนอยด์โต
อาการของภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นในเด็ก
เนื่องจากต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์อยู่ข้างหลังโพรงจมูกหรือข้างหลังคอ พอต่อมมีขนาดโตขึ้นก็จะไปเบียดทางเดินหายใจทำให้เด็กหายใจลำบาก เห็นได้ชัดในช่วงนอนหลับ ทำให้มีอาการดังต่อไปนี้
. นอนหายใจเสียงดัง
. นอนกรน
. นอนอ้าปากหายใจ
. หากเป็นมาก เด็กจะหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ
การหยุดหายใจขณะหลับทำให้ร่างกายขาดก๊าซออกซิเจน มีผลต่อการทำงานของสมองและพัฒนาการ ทำให้เด็กไม่มีสมาธิในการเรียนและอาจมีพฤติกรรมซุกซน ก้าวร้าว นอกจากนี้ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตและความอยากอาหาร รวถึงทำให้หัวใจทำงานหนัก จนถึงขั้นภาวะหัวใจล้มเหลวได้
วินิจฉัยภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นในเด็กได้อย่างไร
แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียดเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่น ประวัติโรคภูมิแพ้ เป็นหวัดสภาพแวดล้อมต่าง ๆ และความรุนแรงของอาการ รวมถึงตรวจทางเดินหายใจด้วยการส่องกล้องเข้าไปตรวจหรือการทำเอกซเรย์บริเวณลำคอด้านข้างเพื่อดูขนาดของต่อมอะดีนอยด์ ทำให้แพทย์เห็นชัดเจนว่าต่อมมีขนาดโตและเบียดทางเดินหายใจมากน้อยแค่ไหน ในกรณีที่เด็กมีอาการรุนแรงหรือสงสัยว่าหยุดหายใจขณะหลับ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจคุณภาพการนอนหลับ (sleet test) เพิ่มเติม
รักษาภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นในเด็กได้ด้วยวิธีใดบ้าง
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากมีความรุนแรงมาก เช่น หยุดหายใจขณะหลับอย่างชัดเจนจนหน้าเขียวปากเขียว เป็นมากจนนอนไม่ได้ หากหลับเมื่อไหร่ หยุดหายใจเมื่อนั้น บางคนหัวใจเต้นผิดปกติมาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดโดยแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางด้านหู คอ จมูก แต่เด็กส่วนใหญ่มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์มักมีอาการไม่มาก แพทย์จะเน้นไปที่การรักษาโรคภูมิแพ้ ดังนี้
. การใช้ยา เช่น ยารับประทานหรือยาพ่นเข้าไปในจมูก เป็นการพ่นยาเข้าไปที่ตัวต่อมอะดีนอยด์โดยตรงซึ่งต้องใช้การรักษาระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยแพทย์จะอธิบายความจำเป็นในการใช้ยา ชนิดของยา วิธีการใช้ยาอย่างละเอียด รวมถึงระยะเวลาในการใช้ยาที่เหมาะสม และแนะนำการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อชะล้างฝุ่นละออง เชื้อโรคออกมา ซึ่งสามารถทำ ๆ ได้ทุกวันแม้ไม่มีอาการ
. การปรับสภาพแวดล้อม การรักษาภูมิแพ้ให้ได้ผลนั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมร่วมกับการใช้ยา เช่น คนในบ้านเลิกสูบบุหรี่ ลดหรือกำจัดสิ่งที่สะสมฝุ่น เช่น ตุ๊กตาและพรม ใช้เครื่องนอนกันไรฝุ่น ใช้เครื่องฟอกอากาศและล้างเครื่องปรับอากาศบ่อย ๆ
. หากมีการอักเสบ ติดเชื้อของต่อมอะดีนอยด์ แพทย์อาจมีการให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย
แพทย์จะนัดติดตามผลหลังจากรักษาได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เด็กส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้น หากอาการไม่ดีขึ้น อาจต้องตรวจคุณภาพการนอนหลับ (sleep test) และรักษาด้วยการผ่าตัด
ขอบคุณ : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์