เปิดจม. ลาออก พ.ต.ท.บดินทร หลังถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม
เปิดจดหมายลาออกของ พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร ลูกชายอดีตรอง ผบ.ตร. หลังถูกโยกย้ายตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่
จากกรณีที่กำลังเป็นกระแสในโลกออนไลน์ ที่มีการแชร์หนังสือลาออกจากราชการของ “พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร” ตำแหน่ง สว.(สอบสวน) สน.พระโขนง โดยในหนังสือระบุข้อความว่า
“ด้วยข้าพเจ้า พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร เริ่มรับราชการเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2550 ตลอดระยะเวลาที่เป็นตำรวจได้อุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาโดยตลอด โดยได้นำความรู้และความสามารถที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และสั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต เพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะทักษะด้านภาษาจีนที่ข้าพเจ้าได้ทุ่มเทศึกษาจนจนชำนาญ และได้เข้าร่วมในการทำคดีสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนจีน ตั้งแต่การปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่แอบมาเปิดฐานอยู่ในประเทศไทย, ติดตามประสานงานจนสามารถจับกุมกลุ่มคนไทยที่ไปเปิดแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน, ปราบปรามผู้มีอิทธิพลชาวจีนที่มากระทำผิดในประเทศไทย ฯลฯ รวมถึงการเป็นล่ามให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงเมื่อมีการประชุมหารือกับตัวแทนจากสถานทูตจีนหรือกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นผู้ประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะสาธารณรัฐประชาชนจีนในการปฏิบัติงาน
การแต่งตั้งโยกย้ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามครั้งล่าสุดได้พิสูจน์ให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า ผู้บังคับบัญชาไม่ได้มองเห็นในความสามารถของข้าพเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่ได้มีการย้ายข้าพเจ้า ให้ไปดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมในด้านภาษาแต่อย่างใด อีกทั้งให้ข้าพเจ้าอยู่ในหน่วยงานที่ไม่ได้ใช้ความสามารถของข้าพเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะพยายามทุ่มเทช่วยเหลืองานนอกเหนือจากงานในหน้าที่ตนอย่างไรก็ตาม ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าไม่เพียงพอที่จะทำงานให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
หลังจากที่จดหมายนี้เผยแพร่ออกไป ได้มีประชาชนเข้ามาให้กำลังใจมากมายผ่านเฟซบุ๊ก จนเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ขอบคุณทุกคนที่คอยส่งกำลังใจ และได้ทราบภายหลังว่า พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร เป็นบุตรชายของ พล.ต.อ.สันติ เพ็ญสูตร อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อีกด้วย และที่ผ่านมาได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงานสายตำรวจเสมอโดยปราศจากการใช้เส้นสาย แต่ในครั้งนี้กลับถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม