กรมอุตุฯ ชี้แจงหลังว่อนข่าวลือ มรสุมเตรียมเข้าไทย ระวังลมแรง หนาวสุดขั้ว

01 มกราคม 2566
43

กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้แจงแล้ว หลังว่อนข่าวลือ มรสุมหนักระลอกใหม่เตรียมกลับเข้าไทย ระวังลมแรง หนาวสุดขั้ว จริงหรือไม่!?

ตามที่มีข้อมูลในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องกรมอุตุนิยมวิทยาเตือน มรสุมหนักระลอกใหม่เตรียมกลับเข้าไทย ระวังลมแรง หนาวสุดขั้ว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรมอุตุฯ ชี้แจงหลังว่อนข่าวลือ มรสุมเตรียมเข้าไทย ระวังลมแรง หนาวสุดขั้ว

 

จากกรณีที่มีผู้โพสต์ให้ข้อมูลโดยระบุว่ากรมอุตุนิยมวิทยาเตือน มรสุมหนักระลอกใหม่เตรียมกลับเข้าไทย ระวังลมแรง หนาวสุดขั้ว ทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีที่มาจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา

ซึ่งสภาพอากาศระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 – 2 มกราคม พ.ศ. 2566 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยอุณหภูมิจะลดลง 2 – 4 องศาเซลเซียส

 

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2 – 3 เมตร เหมือนในช่วงวันที่ 28 – 30 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนจะเคลื่อนผ่านตอนบนของภาคเหนือ ทำให้ภาคเหนือตอนบนมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งเกิดขึ้นได้

กรมอุตุฯ ชี้แจงหลังว่อนข่าวลือ มรสุมเตรียมเข้าไทย ระวังลมแรง หนาวสุดขั้ว

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อมิให้เกิดความสับสน และตื่นตระหนกขึ้นในสังคม หากมีสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพื่อเติมสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.tmd.go.th โทรสายด่วน 1182

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีที่มาจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 – 2 มกราคม พ.ศ. 2566 ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยอุณหภูมิจะลดลง 2 – 4 องศาเซลเซียสเท่านั้น ไม่ได้หนาวสุดขั้วตามข้อมูลดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews