พ่อวัย 67 ปี สุดช้ำแฉโดน ลูกชาย-ลูกสะใภ้ วางยาหวังฮุบเงิน 65 ล. แต่หนีออกมาได้

12 กุมภาพันธ์ 2566
118

พ่อวัย 67 ปี สุดช้ำแฉโดน ลูกชาย-ลูกสะใภ้ วางยากักขั้งทั้งตนเองและภรรยาหวังฮุบเงิน 65 ล้านบาท แต่หนีรอดออกมาได้

กำลังเป็นประเด็นร้อนที่พูดถึงกันในโลกโซเชียล จากกรณีที่พ่อวัย 67 ปี แฉโดนลูกชายกับลูกสะใภ้ และครอบครัวของลูกสะใภ้ วางยากักขังนานกว่า 2 ปี จัดฉากให้เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ และไปยื่นขอศาลขอเป็นผู้จัดการมรดก ถ่ายโอนทรัพย์สิน 65 ล้านบาท ด้านภรรยาก็เสียชีวิตเชื่อเป็นฆาตกรรม

พ่อวัย 67 ปี สุดช้ำแฉโดน ลูกชาย-ลูกสะใภ้ วางยาหวังฮุบเงิน 65 ล. แต่หนีออกมาได้

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้พา เศรษฐีเจ้าของธุรกิจ วัย 67 ปี เข้าร้องทุกข์กับ พล.ต.ต.นเรวิช สุคนธวิท ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พร้อม พ.ต.อ.ณัฐจักร จันลา ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา , ร.ต.อ.วรทัต เรืองฤทธิ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ระบุว่า ถูกลูกชาย ลูกสะใภ้ และครอบครัวลูกสะใภ้ กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย แถมยังผสมยาสลบหมูใส่ในข้าวกับน้ำให้กินจนล้มป่วย ต่อมาลูกชายก็ยื่นเรื่องต่อศาลขอเป็นพิทักษ์ทรัพย์ และโอนถ่ายทรัพย์สินกว่า 65 ล้านบาท และมีการทุบตีทำร้ายร่างกายโดยใช้ไม้เมตร พร้อมแสดงบาดแผล ตามแขนและขา

เศรษฐีวัย 67 ปี ยังเผยอีกว่า เมื่อปี 2563 ตนและภรรยา พักอยู่ที่บ้านในพื้นที่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ถูกลูกชายและลูกสะใภ้ แอบนำยาสลบหมูผสมในอาหารและน้ำให้กิน จนพากันล้มป่วยทั้งคู่  และยังถูกกักขังให้อยู่แต่ในห้อง โดยมีการเปลี่ยนลูกบิดประตู ชนิดที่ไม่สามารถเปิดได้จากด้านใน และในระหว่างนั้นหลานที่อยู่ละแวกใกล้เคียงได้พยายามหาทางเข้ามาหา แต่ก็ถูกกีดกันตลอด 

กระทั่งต่อมา ลูกชายและลูกสะใภ้ไม่อยู่ หลานแอบขึ้นมาหาที่ห้อง และให้การช่วยเหลือพาส่งยังโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นภรรยาไม่ได้สติแล้ว แต่อยู่ดรงพยาลาลไม่ทันข้ามคืน ระหว่างที่ยังอยู่โรงพยาบาล และยังไม่ได้พบหมอ ลูกชายก็อ้างสิทธิ์นำตัวตนและภรรยาออกมา ก่อนจะนำไปกักขังไว้ที่บ้านพ่อ-แม่ของลูกสะใภ้ ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

โดย ผู้เสียหาย กล่าว่า ถูกกักขังให้อยู่แต่ในห้องขนาด 4 x 8 เมตร ประตูหน้าต่างถูกปิดตายด้วยสังกะสี ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน โดยหน้าต่างทำเป็นลูกกรงคล้ายห้องขัง มีช่องสำหรับ ส่งข้าว ส่งน้ำ ซึ่งกับข้าวส่วนใหญ่ก็เป็นมาม่าและปลากระป๋อง น้ำดื่มก็กรอกมาจากน้ำประปา ส่วนข้าวของเครื่องใช้มีเพียงผ้า 1 ผืน และหมอน 1 ใบ ช่วงแรกมีทีวีให้ แต่ต่อมาก็ถูกยกออกไป 

ตนถูกกักขังอยู่อย่างนั้นตลอดระยะเวลา 2 ปี ได้อาบน้ำ 3 เดือนครั้ง ครั้งละประมาณ 15 นาที ที่สำคัญภายในห้องไม่มีห้องน้ำสำหรับทำขับถ่าย ต้องใช้เก้าอี้ 4 ขา และเอาถุงดำใส่ทั้งอึและฉี่ พอทำธุระเสร็จก็จะมัดปากถุงและกองเอาไว้ในห้อง ซึ่งจะมีแม่บ้านใส่ชุดพีพีอี มาเก็บเดือนละ 1 ครั้ง บางทีก็กองเต็มห้องส่งกลิ่นคลุ้งไปหมด

ระหว่างที่ถูกกักขังถูกกรอกยาสลบหมู โดยใช้สลิงฉีดใส่ปาก ต่อมาทั้งคู่ขัดขืน จึงเปลี่ยนมาผสมข้าวให้กิน ซึ่งถูกกักขังไว้ตั้งแต่ปี 2563 - 2565 และสามารถหนีออกมาได้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 โดยลูกชายเองเป็นคนพาหนี เพราะมีปัญหากับพ่อตา-แม่ยาย ส่วนภรรยาของตน ไม่สามารถหนีออกมาได้ มาทราบภายหลังว่า ภรรยาผูกคอเสียชีวิต ในห้องที่ถูกกักขัง วันที่ 12 มีนาคม 2565

 

ผู้เสียหาย ยังกล่าวว่า หลังจากที่ตนกับภรรยาถูกลูกชายกักขัง เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ลูกชายได้ไปยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดก โดยศาลพิเคราะห์ว่า ตนและภรรยา เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ จากนั้นลูกชายได้ถ่ายโอนทรัพย์สิน โดยการนำโทรศัพท์ตนไปโอนเงินสดผ่านแอปฯธนาคารครั้งละประมาณ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท รวมแล้วเป็นเงินกว่า 65 ล้านบาท

"วันนี้หนีออกมาได้ จึงต้องการแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำต่อผมและภรรยา โดยเฉพาะยังติดใจสาเหตุการตายของภรรยา และคาดว่าน่าจะเป็นการจัดฉากฆาตกรรมอำพรางมากกว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะผมและภรรยาได้สัญญากันว่า จะไม่มีใครฆ่าตัวตายหนีความทุกข์นี้" ผู้เสียหายกล่าว

พร้อมทั้งยังได้บอกอีกว่า ตนมีข้อสงสัยเนื่องจากก่อนที่ภรรยาจะเสียชีวิตนั้น ตนถูกจับแยกห้อง และได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกขอความช่วยเหลือ ประมาณ 2 - 3 ครั้ง และเงียบไป จากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงภรรยาอีกเลย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คิดว่าลูกชายแท้ๆ จะทำกับพ่อแม่ได้แบบนี้ เพราะปกติจะเห็นแต่ในทีวีหรือในละคร ไม่คิดว่าจะมาเจอกับตัว 

ทางด้าน พล.ต.ต.นเรวิช สุคนธวิท ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวบรวมพยานหลักฐานในคดี พร้อมสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เพื่อจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews