เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดไท ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่าผู้ค้าผักและผลไม้ต่างโอดครวญถึงผลกระทบหนักจากการปิดด่านพรมแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ตามปกติ สร้างความเสียหายกว่า 50 ล้านบาทต่อวัน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าเปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ด่านชายแดนมีการเปิด-ปิดไม่แน่นอน บางวันเปิดเพียงครึ่งวัน บางวันปิดตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะวันเสาร์และจันทร์ที่ผ่านมา ด่านปิดทั้งวัน ส่วนวันนี้ (อังคารที่ 17 มิ.ย.) ก็ยังไม่มีสัญญาณการเปิดแต่อย่างใด
ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากผลไม้สดที่ต้องส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะลูกค้าชาวกัมพูชาที่เป็นตลาดหลัก ซึ่งเมื่อไม่สามารถระบายสินค้าได้ สินค้าก็เน่าเสียคาสต็อก โดยเฉพาะผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศที่ต้องมีการวางแผนสั่งซื้อล่วงหน้าเป็นเดือน
“ผลไม้มีอายุการเก็บรักษาจำกัด เก็บไว้นานรสชาติเปลี่ยน คุณภาพตก และสุดท้ายก็ต้องทิ้งไป” แม่ค้ารายหนึ่งเผยด้วยน้ำเสียงระทม
"ป้าดา" หนึ่งในแม่ค้าที่ตลาดไท กล่าวทั้งน้ำตาว่า “เราเข้าใจสถานการณ์ แต่ก็อยากให้รัฐเห็นใจคนทำมาหากินบ้าง ถ้าเปิดด่านไม่ได้ตลอดเวลา อย่างน้อยช่วยเปิดเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เราส่งของได้ ก็ยังดี”
ด้าน “มาดามฟรุ๊ต ตลาดไอยรา” เสริมว่า ความเดือดร้อนในครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่ผู้ค้าฝั่งไทย แต่ยังลามไปถึงลูกค้าชาวกัมพูชาที่ไม่สามารถสั่งสินค้าตามความต้องการได้ “อยากให้รัฐเร่งเจรจา เปิดช่องทางระบายผลผลิตให้เรายังพอมีลมหายใจต่อธุรกิจได้”
ผู้ค้าต่างเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเจรจาด้วยสันติวิธี เพื่อหาทางออกร่วมกัน และบรรเทาผลกระทบที่กำลังทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากตกอยู่ในภาวะล้มละลายจากเหตุการณ์ครั้งนี้
คุณคิดว่ารัฐบาลควรมีมาตรการใดเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าผักผลไม้ในยามวิกฤตเช่นนี้?