เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดพรพระร่วงประสิทธิ์ เขตสายไหม กรุงเทพมหานครฯ ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีตามศาสนาของน้องโฮม เด็ก 6 เดือน เสียชีวิต โดยทันทีที่ศพมาถึงศาลา ผู้เป็นแม่ที่อยู่ในอาการโศกเศร้า ได้เข้าไปจุดธูปบอกกล่าวกับดวงวิญญาณของลูกชายตามความเชื่อ ก่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดย น.ส.โชติกา อายุ 25 ปี มารดา เผยว่า ตนคบหากับสามีมาได้ประมาณสองปีแล้ว ช่วงคบกันแรก ๆ สามียังเป็นคนใจเย็น แต่มาปีนี้ สามีกลับเป็นคนอารมณ์รุนแรง มักดื่มสุราจนมึนเมา เมื่อทะเลาะหรือโมโหก็จะลงมือทำร้ายตบตีตน และไม่ยอมให้ตนหนีออกจากบ้าน จะทำการยึดโทรศัพท์ของตนไว้ทุดครั้ง เพื่อไม่ให้โทรแจ้งความกับตำรวจ
ส่วนเหตุการณ์ที่ถูกสามีทำร้ายหนักที่สุดคือตอนที่ ตนกำลังตั้งท้องแล้วถูกสามีบีบคอ ตบตีใบหน้าจนบวมช้ำเป็นจ่ำ ๆ หลังถูกทำร้ายร่างกาย ตนขอความช่วยเหลือจากญาติของสามี แต่ญาติของสามีบอกว่า นิสัยของสามีเป็นแบบนี้อยู่แล้ว และเคยมีลูกมาก่อนแล้วด้วย ตนจึงแปลกใจเป็นอย่างมาก
นอกจากทำร้ายตนแล้ว สามียังทำร้ายลูกอีกด้วย โดยสามีมักมีพฤติกรรมแปลก ๆ คือชอบกัดลูก เขย่าตัวลูกแบบแรง ๆ แม้ตนจะตักเตือนไปแล้วหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยฟัง ทำให้ลูกมีรอยกัดช้ำตามตัวอย่างชัดเจน
ส่วนเหตุการณ์ที่สามีทำร้ายลูกหนักที่สุดคือ ตอนที่เขาทะเลาะกับตน ในประเด็นที่ตนพูดกับเขาว่า ถ้าไม่พร้อมเป็นพ่อก็ไปจากตนได้เลยนะ ตนเลี้ยงลูกคนเดียวได้ ซึ่งทำให้สามีโมโหมากด่าตนสารพัดทำให้ลูกที่เพิ่งอายุประมาณ 2 เดือนเศษได้ยินเสียงก็ร้องไห้ดังขึ้นมา สามีจึงโมโหไปหยิบหมอนกดทับใบหน้าลูกจนแทบหายใจไม่ออก แล้วบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ส่วนตัวตนคิดว่าการที่สามีอารมณ์รุนแรงแบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเคยเสพยาเสพติด (ยาเค) กับเพื่อน แล้วทำให้เกิดอาการดังกล่าว
ยอมรับว่า ตนเคยหอบลูกหนีออกจากบ้านอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งสามีก็จะมาตามตนกลับบ้านอยู่ร่ำไป ทุกครั้งก็ต้องยอมกลับบ้าน ต้องยอมทนเพื่อลูก ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่า เขาจะรั้งตนไว้เพื่ออะไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงลูก ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทางบ้านฝั่งตนเป็นคนออกทั้งสิ้น นอกจากนี้ ตัวเขาเองก็ยังมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาให้ตนได้ปวดหัวแทบทุกวี่วัน ครั้งหนึ่งสามีเคยคบผู้หญิงซ้อน แล้วพามาดื่มสังสรรค์ ก่อนมีอะไรกันที่ชั้นล่างของตัวบ้าน และสั่งไม่ให้ตนเดินลงมาวุ่นวายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เชื่อกับคำให้การของสามี เพราะตอนแรก สามีให้การว่าลูกตกเตียงเอง แต่ตอนหลังมาบอกว่าพลั้งมือ มันแปลกเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้อีกหนึ่งพิรุธ คือตอนที่ตนเข้าไปในบ้าน แล้วเห็นศพลูกเป็นครั้งแรก ก็สามีนี่แหละเป็นคนบอกไม่ให้ตนแจ้งความกับตำรวจ บอกให้เก็บเป็นเรื่องเงียบ ทั้งที่ตัวเขาเป็นพ่อ ควรจะเรียกรถพยาบาลมาช่วยลูกหรือไม่ หรือจะโทรเรียกให้ตนช่วยเรียกรถพยาบาลมารับลูกก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทำ
สุดท้ายนี้ เมื่อคืนนี้ สามีทักข้อความมาขอโทษ ขอโอกาส แต่ตนคงให้อภัยกับสามีไม่ได้อีกแล้ว หลังจากนี้ตนจะเป็นคนเลี้ยงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาด้วยตนเอง และจะกลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านใน กทม. ส่วนสามีก็ให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย