"ทนายสายหยุด" แจงแล้วทำคดีให้ "ทนายตั้ม" ต่อหรือไม่
"ทนายสายหยุด" ชี้แจงกับสื่อแล้วหลังเข้าเยี่ยม "ทนายตั้ม" ในเรือนจำ เผยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะยังทำคดีต่อหรือไม่
ทางด้าน "ทนายสายหยุด เพ็งบุญชู" ทนายความของ "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้สัมภาษณ์สื่อหลังเข้าเยี่ยมทนายตั้มในเรือนจำ เผยปม 39 ล้านบาท หากพบผิดขอไม่รับเป็นทนาย ส่วนปม 71 ล้านบาท ประสาน "ทนายเจ๊อ้อย" จะลองเสนอการเยียวยา แต่ถ้าหากทนายตั้มยืนยันว่าไม่คืนเงิน ก็มีผลต่อการตัดสินใจทำคดีให้ต่อ
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ทนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยงบังเกิด หรือทนายตั้ม เดินทางเข้ามาเยี่ยมทนาย ก่อนเผยต่อทีมข่าวว่า วันนี้ได้เข้าเยี่ยมทนายตั้มอย่างใกล้ชิด ในลักษณะใช้โทรศัพท์โทรคุยกันแต่มีกระจกกั้น ซึ่งไม่ได้มองหน้ากัน เนื่องจากทนายตั้มให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์และตัวเองต้องเร่งบันทึก โดยมีใจความเรื่องความเป็นอยู่ ซึ่งทนายตั้มสามารถปรับตัวได้ไม่ได้มีความกังวลหรือเครียด โดยไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ
รวมทั้งเรื่องการประกันตัวทั้งตัวทนายตั้มและภรรยา ยังไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องการประกันตัว เนื่องจากยื่นประกันตัวไปแล้วไม่ได้ โดยจะต้องรอพนักงานสอบสวนส่งฝากขังผัดที่ 2 ว่าจะให้เหตุผลยังไง ถึงจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ว่าทางพนักงานสอบสวนจะยังคัดค้านการประกันตัวอยู่หรือไม่
สำหรับคดี 39 ล้านบาทนั้น จะสามารถดำเนินการและสู้ต่อไหวหรือไม่ ทนายสายหยุด เผยว่า ส่วนตัวดูจากสำนวนคดีเป็นหลัก โดยไม่ได้ฟังจากสื่อและเรื่องเล่าปากต่อปาก
ส่วนที่ อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ออกมาเปิดเผยว่าคดี 39 ล้านบาทเป็นสารตั้งต้น ที่ทำให้ทนายตั้มถูกดำเนินคดี นั้น ทนายสายหยุด บอกว่า เรื่องนี้ตัวเองไม่ขอก้าวล่วง เพราะเป็นเรื่องวาทกรรมในการข่าว และส่วนตัวจะดำเนินการไปตามสำนวนและแนวทางคดี
ในส่วนข้อมูลที่ได้รับรู้จากการเผยแพร่จากสื่อมวลชน กับข้อมูลที่ได้รับจากทนายตั้ม มองว่า ทนายตั้มเพลี่ยงพล้ำในเรื่องของการที่จะต่อสู้คดีหรือไม่ ทนายสายหยุด บอกว่า ในทางคดีนุกับสาริณี ยังไม่มีหลักฐานการซัดทอดมาที่ทนายตั้ม ถึงแม้ว่าทั้ง 2 คน จะถูกดำเนินคดี รวมทั้งตำรวจได้ประกาศว่าจะดำเนิคดีกับทนายตั้มก็ตาม เพราะข้อเท็จจริงทนายตั้มยังไม่ถูกดำเนินคดี ฉะนั้นตัวเองต้องไปขอข้อมูลจากทนายตั้มและมาศึกษา
หากว่าทนายตั้มผิดจริงก็จะไม่รับทำคดีให้ และส่วนตัวจะแนะนำให้รับสารภาพ เพราะตัวเองยืนยันว่าจะไม่รับทำคดีแน่นอนหากทำแล้วแพ้ ส่วนนุกับสารีณีนั้นเป็นผู้กระทำ เป็นคนที่ใกล้ชิดกับพฤติการณ์ และเป็นตัวรับเงิน ก็จะต้องถูกดำเนินคดีอยู่แล้วเป็นธรรมดา
ส่วนพยานหลักฐานที่มีความชัดเจนถึงการขนย้ายเงินจำนวน 39 ล้านบาทด้วยการใส่กระเป๋า ทนายสายหยุด บอกว่า ตัวเองเพิ่งเห็นตามภาพสื่อเช่นกัน ส่วนรายละเอียดทางคดีไม่ขอออกความคิดเห็น ขอเห็นเอกสารหรือข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหาก่อน
เบื้องต้นเท่าที่ได้รับข้อมูลคดี 39 ล้านจากทนายตั้ม พบว่ามีพยานหลักฐานที่จะสามารถต่อสู้คดีได้ โดยทนายตั้มได้มีการเตรียมพยานหลักฐานดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนเจ้าตัวจะหลอกหรือสับขายังไงก็เป็นเรื่องของทนายตั้ม ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว พยานหลักฐานจะเหลือร่องรอยมากน้อยแค่ไหนก็ต้องไปตรวจสอบพิจารณาอีกครั้ง
สำหรับคดี 71 ล้าน ขณะนี้ได้มีการพูดคุยทนายของเจ๊อ้อยในเรื่องของการไกล่เกลี่ยเพื่อจะเยียวยา ซึ่งเมื่อไปถึงชั้นศาล และคดีเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง ศาลก็จะให้ไกล่เกลี่ยกันอยู่แล้ว และเจตนาส่วนตัว ก็คือ เมื่อเป็นหนี้แล้วเค้าทวงเราก็ต้องใช้ แต่หากว่าในอนาคตทนายตั้มไม่คืนก็จะมีเหตุที่ทำให้ตนตัดสินใจเกี่ยวกับการทำงานหลังจากนี้ พร้อมย้ำว่า
"หากเป็นหนี้แล้วทนายตั้มไม่ใช้คืนนั้น จะสามารถเป็นเหตุผลในการตัดสินใจว่า จะว่าความต่อหรือไม่"
ส่วนที่ อาจารย์ปานเทพ ออกมาเปิดเผยว่า ทนายตั้มมีกรณีเรื่องของการทำพินัยกรรมและให้ตัวเองเป็นผู้จัดการมรดกของเจ๊อ้อย ทนายสายหยุดบอกว่า ตัวเองขอไม่วิพากวิจารในกรณีนี้แต่มีการพูดคุยกับทนายตั้มจริง ซึ่งเจ้าตัวบอกทำลายไปแล้ว และการยกเลิกก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องเจ๊อ้อยและทนายตั้ม ส่วนตัวไม่ทราบ
ส่วนเรื่องที่มีการอ้างว่าทนายตั้มติดGPS ในรถของเจ๊อ้อย ทนายตั้มอ้างว่า ไม่ได้ติด ซึ่งมันก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามีสัญญาณหรือมันไม่สามารถยืนยันได้