เปิดปมสังหาร "น้องฟาง" นักเรียนชาย ม.3 หลังถูกพบศพในบ่อดินร้าง
เปิดปมสังหาร "น้องฟาง" นักเรียนชาย ม.3 หลังถูกพบศพในบ่อดินร้าง ที่แท้ฝีมือเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน อ้างโมโหถูกด่าพ่อแม่
เปิดปมสังหาร "น้องฟาง" เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา รับแจ้งพบผู้เสียชีวิตลอยอยู่ในบ่อดินร้าง พื้นที่บ้านทอนไม้ไผ่ หมู่ 4 ต.คลองหอยโข่ง อ.คลองหอยโข่ง โดยจุดเกิดเหตุเป็นป่าละเมาะ ไม่ไกลจากหมู่บ้าน พบร่างผู้เสียชีวิตชื่อ ด.ช.กณวรรธน์ หรือ น้องฟาง อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.สงขลา
ตรวจสอบศพพบสภาพคว่ำหน้าอยู่ริมตลิ่งบ่อดินร้าง สวมชุดนักเรียนกางเกงสั้นน้ำเงิน เสื้อลายไทยและสวมรองเท้านักเรียน สภาพศพเริ่มอืดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 5 วัน ถูกเชือกไนล่อนรัดที่คอ ตามลำตัวมีรอยช้ำที่น่าจะมาจากการถูกทำร้าย
ขณะที่บริเวณจุดเกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือรอยเลือดและหลักฐานใดๆ คาดว่าน่าจะถูกทำร้ายมาจากที่อื่นแล้วนำศพมาทิ้งไว้ในบ่อดินร้าง ขณะที่ทางญาติมาดูที่เกิดเหตุได้ยืนยันว่าศพดังกล่าวเป็นน้องฟางจริงๆ ซึ่งได้หายไปตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟสีดำ ที่ขับไปโรงเรียน และโทรศัพท์มือถืออีก 1 เครื่อง โดยญาติได้โพสต์ประกาศตามหาตัว จนกระทั่งเมื่อช่วงเช้าวานนี้ ชาวบ้านที่ไปหาเห็ดป่าได้พบศพจึงแจ้งตำรวจ
ต่อมาชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.สงขลา ได้ไล่กล้องจากภาพวงจรปิดในวันเกิดเหตุ ตนสามารถตามจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุสังหาร น้องฟาง ได้แล้ว 1 คน ชื่อ นายบุญมี อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มของน้องฟาง ส่วนอีกคนที่ร่วมกันก่อเหตุคือ นายเป้ อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มน้องฟางเช่นกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนี
จากการสอบปากคำ นายบุญมี ได้เล่าว่า สาเหตุที่ลงมือสังหารน้องฟาง เพราะถูกน้องฟางด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายและล้อเรื่องพ่อแม่ที่โรงเรียน จึงไม่พอใจและวางแผนให้น้องฟางไปส่งที่บ้านหลังเลิกเรียน โดยตนเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ของน้องฟาง พาน้องฟางแวะข้างทางตรงจุดเกิดเหตุ แล้วก็ชกต่อยน้องฟางจนหมดสติ
จากนั้นขี่รถจักรยานยนต์ของน้องฟางออกไป โดยปล่อยให้น้องฟางนอนหมดสติอยู่ที่ตรงนั้นคนเดียว จากนั้นตนขี่รถจักรยานยนต์ขี่กลับมาใหม่ พร้อมกับนำเชือกผ้ามามัดคอน้องฟางแล้วก็ลากลงไปในน้ำ ก่อนที่จะขี่รถจักรยานยนต์ของน้องฟางไปรับแฟนสาวของตน แล้วก็ขี่รถกลับไปบ้านที่ตำบลบ้านไร่ อำเภอหาดใหญ่ ก่อนจะถูกจับตัวในเวลาต่อมา
ขอบคุณ Hatyainews หาดใหญ่นิวส์