WHO ประกาศ "ความเหงา" เป็นภัยระดับโลก อันตรายเทียบเท่าสูบบุหรี่ 15 มวน
WHO ประกาศ "ความเหงา" เป็นภัยคุกคามสาธารณสุขระดับโลก อันตรายเทียบเท่าสูบบุหรี่ 15 มวน แถมเป็นปัจจัยให้เกิดโรคต่างๆ
WHO ประกาศ "ความเหงา" เป็นภัยระดับโลก อันตรายเทียบเท่าสูบบุหรี่ 15 มวน : ใครมี "ความเหงา" ต้องรีบจัดการออกจากตัวเองอย่างเร่งด่วน เพราะล่าสุดมีรายงานวิจัยจาก องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ประกาศว่า "ความเหงา" เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่เร่งด่วนทั่วโลก โดยศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐฯ ระบุว่าผลกระทบต่อการเสียชีวิตของความเหงาเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
ตามรายงานระบุว่า ความเหงาก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมต้องหยุดชะงักลง องค์การอนามัยโลกได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเกี่ยวกับปัญหา "ความเหงา" นำโดยนพ.วิเวก เมอร์ธี ศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐอเมริกา ชิโด เอ็มเปมบา ทูตด้านเยาวชนของสหภาพแอฟริกา
รวมไปถึงราล์ฟ รีเกนวานู รัฐมนตรีกระทรวงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวานูอาตู และอายูโกะ คาโตะ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบมาตรการเพื่อความเหงาและความโดดเดี่ยวในญี่ปุ่น พร้อมด้วยนักเคลื่อนไหวและรัฐมนตรีอีก 11 คน
นพ.วิเวก เมอร์ธีอธิบายว่า "ความเหงากำลังกลายเป็นข้อกังวลด้านสาธารณสุขระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ และการพัฒนาในทุกด้าน ความโดดเดี่ยวทางสังคมไม่มีอายุหรือขอบเขต ความเสี่ยงด้านสุขภาพนั้นแย่พอๆ กับการสูบบุหรี่มากถึง 15 มวนต่อวัน และมากกว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนและการไม่ออกกำลังกายอีกด้วย"
ขณะที่ในผู้สูงอายุ ความเหงามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะพัฒนาภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 50% และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมอง 30% เท่านั้นไม่พอ ความเหงายังบั่นทอนชีวิตของคนหนุ่มสาวอีกด้วย โดยงานวิจัยเมื่อปี 2022 ระบุว่า วัยรุ่น 5 - 15% มีภาวะเหงา ซึ่งตัวเลขมีแนวโน้มว่าจะถูกประเมินต่ำไป ขณะที่ในแอฟริกา มีวัยรุ่น 12.7% เผชิญกับความเหงา เทียบกับ 5.3% ในยุโรป
อย่างไรก็ตาม ด้านคนหนุ่มสาวที่ประสบปัญหาความเหงาที่โรงเรียนมีแนวโน้มที่จะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยมากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ความเหงายังส่งผลไปสู่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่แย่ลง ความรู้สึกแปลกแยก และไม่ได้รับการสนับสนุนในงานอาจทำให้ความพึงพอใจและประสิทธิภาพในการทำงานแย่ลง
ข้อมูลจาก WHO