เผยชีวิต 'นารา เครปกะเทย' ในเรือนจำล่าสุด ตัดผมเกรียน ห้ามเทคยาคุม - ใส่ยกทรง
ชีวิตล่าสุด "นารา เครปกะเทย" ในเรือนจำ ถูกตัดผมเกรียน ห้ามเทคยาคุม ไม่ให้ใส่ยกทรง ต้องใช้สีทาบ้านทาเล็บ แต่งหน้าจากเครื่องสำอางเก่า
หลายคนคงยังจำกันได้ กรณีที่ นารา เครปกะเทย หรือ อนิวัติ ประทุมถิ่น ที่ถูกบุกจับกุมที่บ้านพักแฟนหนุ่ม ในความผิดฐาน โฆษณาหรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดกฎหมาย, ฉ้อโกงประชาชน, ทุจริตหรือหลอกลวงโดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามที่เคยเสนอเป็นข่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุด วันที่ 28 ก.ย. 2566 ทางเพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เผยชีวิตล่าสุด ของ นารา เครปกะเทย หลังถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลากว่า 7 เดือน โดยระบุว่า ทุกคนในเรือนจำถูกบังคับตัดผมคล้าย "ทรงนักเรียน" เกรียนขาวทั้ง 3 ด้านเลย
โดยไม่มีการรองหวีใดๆ ซึ่งเธอก็ได้บอกว่า "พอถูกตัดผมสั้นเหมือนกันทุกคน ผู้ชายบางคนก็จะมาเล่นแรง ๆ กับเธอด้วย มาแกล้งตบหัวบ้าง พูดสรรพนามว่า "ไอ้" บ้าง" อีกทั้ง ห้ามเทคยาคุมเด็ดขาด สงวนให้เฉพาะผู้แปลงเพศแล้วและมีใบรับรองแพทย์เท่านั้น แต่ถ้ายังไม่ได้แปลงเพศ เรือนจำก็จะไม่อนุญาตให้ทานฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อไป ซึ่งหากใครที่ติดตาม นารา จะรู้ว่าเธอศัลยกรรมทำหน้าอกแล้ว แต่ยังไม่ได้ศัลยกรรมแปลงเพศ
ซึ่งในการเทคยาคุม หรือ ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน สำคัญอย่างมาก ในการกดทับความเป็นชายไว้ และเพื่อคงสรีระและความเป็นผู้หญิงไว้กับตัวเอง โดยจะต้องทานเป็นประจำทุกวัน หากหยุดทานก็จะทำให้ร่างกายค่อยๆมีความเป็นผู้ชายมากขึ้น ซึ่ง นารา บอกว่า "หยุดทานประมาณ 1 เดือนก็จะเริ่มเห็นผลแล้วว่าสรีระของตัวเองมีความเป็นชายมากขึ้น เช่น หนวดกลับมาขึ้น หนา ดกดำ มัดกล้ามเนื้อชัดเจนขึ้น"
นอกจากนี้ ยังห้ามใส่ยกทรง แม้ศัลยกรรมหน้าอกแล้วก็ตาม โดยเรือนจำชาย สปอร์ตบรา หรือสิ่งคล้ายกันไม่มีขายให้ผู้ต้องขังเลย และไม่สามารถนำเข้าไปด้วย นารา ซึ่งผ่านการผ่าตัดทำหน้าอกแล้ว เผยว่าตั้งแต่ถูกคุมขังไม่เคยได้ใส่ยกทรงเลย ทุกวันนี้ใส่เฉพาะเสื้อผู้ต้องขังผ้าบาง ๆ สีน้ำตาลแค่ตัวเดียวคลุมร่างกายเท่านั้น จุกซิลิโคนสำหรับปิดหัวนมก็ไม่มีให้ใช้ ฉะนั้นการใช้ชีวิตจะลำบากและต้องระมัดระวังมากๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อบังคับมากมาย แต่ นารา ก็อยากเป็นตัวเอง โดยใช้สีทาบ้านไว้ทาเล็บ แต่งหน้าจากเครื่องสำอางเก่า พร้อมเผยว่า "ต้องทำทุกอย่างให้เรายังเป็นเรามากที่สุด"
ขอบคุณ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน