29พ.ค.66 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทาง กกต. เรียก นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ มาให้ถ้อยคำจากกรณีที่นายเรืองไกร เคยมายื่นหนังสือถึง กกต. ให้ตรวจสอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น เป็นการกระทำผิด ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดย นายเรืองไกร เผยว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ กกต. ได้โทรให้ตัวเองมาให้ถ้อยคำ เพราะที่ผ่านมาตัวเองมายื่นคำร้องเพื่อขอให้ตรวจสอบนายพิธา ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 6 ที่เดินทางมายื่นเรื่องต่อ กกต. และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาให้ถ้อยคำ
วันนี้นอกจากจะมาให้ถ้อยคำ ตัวเองจะถือโอกาสยื่นหลักฐานอ้างอิงจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2563 จำนวน 1 เรื่อง และคำวินิจฉัย กกต. เมื่อปี 2564 จำนวน 4 เรื่อง ซึ่งมีทั้งประเด็นการขอให้วินิจฉัยย้อนหลังไปว่า นายพิธาจะพ้นสมาชิกภาพตั้งแต่ปี 2562 หรือไม่ และจะต้องดำเนินคดีอาญา ตามแนวคำวินิจฉัย กกต. หรือไม่ด้วย พร้อมยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่นักกฎหมาย แต่เป็นคนตรวจสอบนักกฎหมาย
หากย้อนกลับไปเมื่อขณะที่ยื่นบัญชีรายชื่อเมื่อปี 2562 ก็มีผลตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งกรณีนี้ตัวเองขอยืนยันว่าได้อ่านทุกคำวินิจฉัยและเก็บข้อมูลทั้งหมด ว่าอะไรคือประเด็นที่ร้องขอให้ตรวจสอบคุณพิธา หลังจากนี้จะผิด หรือถูกก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่จะพิจารณาของ กกต. ว่าคุณพิธาจะขัดต่อการเป็นผู้สมัคร ส.ส. หรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงสำหรับกรณีนี้ถือกรณีเดียวคือหุ้นITV ก็เลยต้องมาให้ถ้อยคำ โดยมาตรฐานของ กกต. จะต้องดำเนินการตามคำวินิจฉัย ซึ่งเกิดขึ้นตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ถ้า นายพิธา เป็นหนึ่งในผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น ก็ต้องถูกตรวจสอบย้อนหลังเรื่องการถือหุ้นสื่อ ITV เมื่อปี 2562 และกกต. ก็ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นเดียวกัน ว่านายพิธา สิ้นสภาพการเป็น ส.ส. หรือไม่
หากพบว่านายพิธายังคงถือหุ้น ITV ในขณะที่มีการสมัคร ส.ส. และในฐานะหัวหน้าพรรคที่เซ็นรับรองบัญชีเขตเกือบ 400 เขต ก็ต้องขอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายพิธาจะมีลักษณะต้องห้ามหรือไม่ และในฐานะที่พรรคก้าวไกลเสนอชื่อนายพิธา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และในอนาคตหาก ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี นายเรืองไกรบอกว่า ตัวเองอาจจะไปร้องต่อทั้ง ครม. เลย