ส่องผล“เนชั่นโพล ครั้งที่ 2” ณ วันที่ 5 พ.ค.66 ภายหลังจากตรวจสอบจำนวนตัวอย่างมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ จำนวน 115,399 ตัวอย่าง แบ่งเป็น กทม.จำนวน 35,969 ตัวอย่าง และภูมิภาค 79,430 ตัวอย่าง
โดยการสำรวจในต่างจังหวัด 367 เขต ทีมลงพื้นที่สำรวจระหว่าง 24 เม.ย. - 3 พ.ค. และการสำรวจใน กทม. 33 เขต ทีมลงพื้นที่สำรวจระหว่าง 28 เม.ย. - 3 พ.ค. 66 ( มีค่าความคลาดเคลื่อน (error) ดังนี้ กทม.33 เขต = 3% , เขตเมืองสำคัญต่างจังหวัด 8 เขต = 5% , เขตเลือกตั้ง 359 เขต = 7%)
ซึ่งประเด็นเรื่องคนไทยทั้งประเทศอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด ปรากฎว่า "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคก้าวไกล ทำคะแนนแซง "อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร"
1. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 29.37%
2. แพทองธาร ชินวัตร 27.55%
3. เศรษฐา ทวีสิน 13.28 %
4. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 8.85%
5. ยังไม่ตัดสินใจ 5.35 %
6. อนุทิน ชาญวีรกูล 4.05%
7. จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ 2.49%
8. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 2.38 %
9. ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 1.66 %
10. วันมูหะมัดนอร์ มะทา 1.56 %
11. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 1.23%
12. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส 1.11 %
13. วราวุธ ศิลปอาชา 0.5%
14. กรณ์ จาติกวณิช 0.38%
"เพื่อไทย" ยืนหนึ่ง "ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์" เปิดผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างรวมทั่วประเทศ เลือก สส. แบบบัญชีรายชื่อ ในสังกัดพรรคใด
"เพื่อไทยผงาด ส.ส.แบ่งเขต" ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างรวมทั่วประเทศ เลือก ส.ส. แบบแบ่งเขต ในสังกัดพรรคใด มีดังนี้
เจาะลึกวิเคราะห์ เนชั่น โพล์ ครั้งที่2
1. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก้าวขึ้นมานำ แพทองธาร ชินวัตร ในสัดส่วนของแคนดิเดต (candidate) ที่คนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีทั่วประเทศ ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น จากที่เคยตามหลังอยู่ถึง 17% จากการสำรวจเนชั่นโพลรอบแรก
2. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นอันดับ1 ในภาคใต้ 11 จังหวัดที่คนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด รองลงมาคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์จากพรรคก้าวไกล
ขณะที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) นายวันมูฮัมหมัดนอร์มะทา จากพรรคประชาชาติ คือคนที่ประชาชนในพื้นที่นี้อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด
3.จำนวนเขตที่พรรคนั้น ๆ มีคะแนนนำ (ยังไม่ได้หมายถึงผู้ชนะเด็ดขาดในแต่ละเขต) รวมทั้งหมด 400 เขต
- เพื่อไทย 247 เขต
- ก้าวไกล 79 เขต
- ไม่แน่ใจ/ยังไม่ตัดสินใจ 18 เขต
- ประชาธิปัตย์ 15 เขต
- ภูมิใจไทย 12 เขต
- ประชาชาติ 12 เขต
- รวมไทยสร้างชาติ 7 เขต
- พลังประชารัฐ 5 เขต
- ชาติไทยพัฒนา 4 เขต
- ชาติพัฒนากล้า 1 เขต
แต่เนื่องจากมีค่าความคลาดเคลื่อน (error) รายเขต ดังนี้ กทม.33 เขต = 3% , เขตเมืองสำคัญต่างจังหวัด 8 เขต = 5% , เขตเลือกตั้ง 359 เขต = 7% จึงทำให้พรรคต่าง ๆ ข้างต้นอาจมีจำนวนตัวเลข ส.ส.เขตเปลี่ยนไปจากค่าคลาดเคลื่อน (error) ของแต่ละเขต โดยมีแง่มุมที่น่าสนใจดังนี้
(1) พรรคฝั่งเสรีนิยมที่เป็นตัวแปร ได้แก่
1.1 เพื่อไทย มีโอกาสลงมาในระดับ 228 เขต
1.2 ก้าวไกล มีโอกาสลงมาในระดับ 52 เขต
หมายเหตุ : หมายถึงเขตที่สูสีกัน เพื่อไทย หรือก้าวไกลตกเป็นอันดับ 2 ในเขตเหล่านั้นทุกเขต
(2) พรรคฝั่งอนุรักษ์นิยมที่เป็นตัวแปร [หากรวมคำตอบส่วน “ไม่แน่ใจ/ยังไม่ตัดสินใจ” ที่มาเป็นอันดับ 1 ของเขตนั้น ๆ ที่อาจมีเพิ่มได้ถึง 23 เขต(นับค่า error) เข้าไปในแต่ละพรรคด้วยแล้ว] ดังนี้
2.1 ประชาธิปัตย์ มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 19 ถึง 42 เขต
2.2 รวมไทยสร้างชาติ มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 13 ถึง 36 เขต
2.3 ภูมิใจไทย มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 16 ถึง 39 เขต
2.4 พลังประชารัฐ มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 6 ถึง 29 เขต
ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 4 ถึง 27 เขต
หมายเหตุ : หมายถึงว่าพรรคนั้น ๆ ต้องช่วงชิงเขตที่ “ไม่แน่ใจ/ยังไม่ตัดสินใจ” มาเป็นของตนให้ได้
ที่สำคัญคือ หากวิเคราะห์เพิ่มเติมลงลึกในรายเขตเลือกตั้ง พบว่ามีเขตที่คะแนนไล่เลี่ยกันระหว่างอันดับ 1 อันดับ 2 หรืออันดับ 3 ที่ผลการเลือกตั้งสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อรวมค่าความคลาดเคลื่อน (error) แล้วถึง 65 เขต จาก 400 เขต โอกาสจึงยังเปิดกว้างสำหรับพรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะฝั่งอนุรักษ์นิยม
4.พรรคก้าวไกลคือ “ตัวตึงการเลือกตั้งระบบเขต” ในครั้งนี้อย่างแท้จริง จากผลสำรวจโพลรอบนี้ถือเป็นการผงาดขึ้นมาในระบบเขตของพรรคก้าวไกลในทุกภูมิภาค พบว่าพรรคก้าวไกลสามารถเจาะเขตของพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือและภาคอีสานได้หลายเขต เจาะเขตภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์และรวมไทยสร้างชาติได้บางเขต
5.การเมืองบนฐานวัฒนธรรมยังมีบทบาทนำในพื้นที่พิเศษกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากพบว่าพรรคประชาชาติสามารถขยายผลในการครองเขตเลือกตั้งเกือบทุกพื้นที่
6.เกิดปรากฏการณ์ “ทฤษฎีเสาไฟฟ้าหัก และเสาโทรเลขเสียบแทน” แม้ว่าเสาโทรเลขเคยเตี้ยกว่าเสาไฟฟ้าก็ตาม แต่เมื่อเสาไฟฟ้าหักลง ในเชิงเปรียบเทียบเสาโทรเลขจึงดูสูงกว่า ซึ่งในภาคใต้ 11 จังหวัด พบว่า เขตที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยแซงพรรคฝั่งอนุรักษ์นิยมนั้น (ส่วนใหญ่เป็นพรรคก้าวไกล) จะเป็นเขตที่ฝั่งอนุรักษ์นิยมตัดกันเองจำนวนมาก
โดยเฉพาะการตัดฐานเสียงกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจกล่าวได้ว่าแนวโน้มจากผลโพลพบว่าพรรคขั้วอนุรักษ์นิยมเดิมแม้จะมีความนิยมสูงมากในพื้นที่ แต่เมื่อแข่งกันเองจึงตัดฐานเสียงกันและกัน ทำให้สัดส่วนฐานเสียงแตกกันกระเจิง พรรคก้าวไกลที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นมาจึงพลิกแซงนำในหลายเขต แต่ถ้าหากนับรวมฐานเสียงฝั่งอนุรักษ์นิยมรวมกันทั้งหมด ยังมีมากกว่าฝั่งเสรีนิยมรวมกัน ประมาณสองเท่าตัวในพื้นที่ 11 จังหวัดภาคใต้
7.การสำรวจเนชั่นโพลครั้งที่ 2 นี้ พบปรากฏการณ์บ้านใหญ่ฝั่งอนุรักษ์นิยมกุมขมับทั่วไทย ประสบภาวะล่มสลาย มีเพียงบางแห่งที่ฝ่ากระแสมาได้ อาทิ พะเยายกจังหวัด สุพรรณบุรี เป็นต้น
8.เมืองหลวงพรรคการเมืองสำคัญถูกตีแตกทุกแห่ง อาทิ บุรีรัมย์ของภูมิใจไทย เชียงใหม่ของเพื่อไทย สงขลาของประชาธิปัตย์ สุพรรณบุรีของชาติไทยพัฒนา เป็นต้น ซึ่งแสดงถึงความเป็นเจ้าของพื้นที่หนึ่งเดียวในจังหวัดนั้น ๆ ที่ครอบครองมายาวนานเริ่มสั่นคลอน
9.พื้นที่ 33 เขตในกรุงเทพมหานคร มีเพียงสองพรรคที่ครอบครองการนำในพื้นที่ ได้แก่ เพื่อไทยและก้าวไกล โดยพรรคเพื่อไทยมีสัดส่วนในการเป็นพรรคนำของเขต มากกว่าก้าวไกล และยังมีเขตที่ยังเปลี่ยนแปลงผลได้อีกอย่างน้อย 4 เขต
10.กลุ่มคนที่ไม่ตัดสินใจเลือก ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งลดลงอย่างมากในการสำรวจโพลรอบสองเมื่อเทียบกับการเก็บข้อมูลเนชั่นโพลรอบแรก โดยลดลงเหลือ 8.65% จากเดิมราว ๆ 32 % เป็นไปตามทฤษฎีการเลือกตั้งที่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ผู้ลงคะแนนจะยิ่งมีความชัดเจนในการตัดสินใจ แต่ในแง่ความมั่นคงในการตัดสินใจเลือก ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้จนถึงวันลงคะแนนจริง
11.นับเป็นการวางยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดของฝั่งอนุรักษ์นิยมที่ไม่สามารถสมานสามัคคีทางยุทธศาสตร์เลือกตั้งตั้งแต่แรกเริ่ม แต่มุ่งแข่งขันกันเองจนทำให้ภาพรวมจำนวน ส.ส.ระบบเขตได้รับผลกระทบอย่างหนัก ปรากฏชัดเจนจากการที่ภาคใต้ 11 จังหวัด คะแนนตัดกันเองระหว่าง ปชป. รทสช. พปชร. หลายเขต
12.จากทิศทางเนชั่นโพลทั้งรอบหนึ่งและรอบสอง ไม่มีปาฏิหาริย์ให้กับพรรคอื่น พรรคเพื่อไทยนำโด่งชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะมาแรงในช่วงท้ายก็ตาม
13.มีหลายเขตจำนวนมากในต่างจังหวัดที่คะแนนอันดับหนึ่งและสองหรือสามห่างกันไม่เกิน 7% ตามค่าความคลาดเคลื่อน (error) ในการสำรวจโพลรอบนี้ นั่นหมายความถึงช่วงโค้งสุดท้ายในอีก 11 วันที่เหลือ สามารถพลิกผันได้ทุกเมื่อในเขตเหล่านี้
14.ข้อสังเกตจากทีมลงพื้นที่ พบว่ามีคนจำนวนมากให้ข้อมูลในระดับที่มีนัยสำคัญว่ายังมีเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง จึงรอดูก่อนว่าใครให้มากกว่า ดังนั้นปัจจัยธนกิจการเมือง (money politics) ยังปรากฏอยู่ในการเลือกตั้งครั้งนี้และอาจเป็นตัวแปรหนึ่งในการเปลี่ยนเกมชิงความได้เปรียบช่วงโค้งสุดท้าย
15.วันสิ้นสุดในการสำรวจโพลจนถึงวันเลือกตั้งมีช่วงเวลามากถึง 11 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานเพียงพอที่พรรคการเมืองต่าง ๆ จะวางยุทธศาสตร์แก้เกมส์เพื่อดึงคะแนนเสียงสู่พรรคตนและเปลี่ยนผลคะแนนได้ จึงขึ้นกับว่าพรรคใดจะทำได้ดีกว่ากันในช่วงสัปดาห์สุดท้าย และเมื่อสังเกตจากกระแสพรรคก้าวไกลช่วงก่อนสงกรานต์และหลังสงกรานต์ยังสามารถเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ ดังนั้น ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งจึงมีช่วงเวลายาวนานเพียงพอในการปรับกลยุทธ์งัดทีเด็ดในการหาเสียงของพรรคต่าง ๆ
16.แนวโน้มฐานเสียงข้ามขั้วเริ่มมีบ้างแล้วจากการสำรวจโพลรอบสอง ซึ่งอาจซ้ำรอยปรากฏการณ์ “ชัชชาติแลนด์สไลด์” เมื่อปีที่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ตกอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่งเด็ดขาด แต่เป็นลักษณะขั้วใหญ่แทนคือปรากฏการณ์เสรีนิยมแลนด์สไลด์
17.ถ้าทิศทางและปัจจัยเงื่อนไขยังเป็นไปตามเนชั่นโพลรอบสองนี้ ไม่มีปัจจัยพิเศษอย่างอื่นแทรกแซงในช่วงที่เหลือ อาจจะได้เห็นพรรคก้าวไกลได้ ส.ส.เขตยกจังหวัดเกิดขึ้นครั้งแรก
สรุปเนชั่นโพล์ ครั้งที่ 2
“เนชั่นโพล ครั้งที่ 2” ประกาศ ณ วันที่ 5 พ.ค.66 สำรวจใช้ ตัวอย่างทั้งสิ้น จำนวน 115,399 ตัวอย่าง แบ่งเป็น กทม.จำนวน 35,969 ตัวอย่าง และภูมิภาค 79,430 ตัวอย่าง
(การสำรวจในต่างจังหวัด 367 เขต ทีมลงพื้นที่สำรวจระหว่าง 24 เม.ย. - 3 พ.ค. และการสำรวจใน กทม. 33 เขต ทีมลงพื้นที่สำรวจระหว่าง 28 เม.ย. - 3 พ.ค. มีค่าความคลาดเคลื่อน (error) ดังนี้ กทม.33 เขต = 3% , เขตเมืองสำคัญต่างจังหวัด 8 เขต = 5% , เขตเลือกตั้ง 359 เขต = 7% ]