กรมอุตุฯ แจงแล้ว ปมฝนตกหนักในรอบ 12 ปี พายุกระหน่ำส่งท้ายปี ระวังน้ำท่วมใหญ่

22 ธันวาคม 2565
6

กรมอุตุนิยมวิทยาชี้แจงแล้ว หลังโลกโซเชียลแห่แชร์ข้อมูล ฝนตกหนักที่สุดในรอบ 12 ปี พายุกระหน่ำส่งท้ายปี และระวังน้ำท่วมครั้งใหญ่

จากกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลเตือนภัยเกี่ยวกับเรื่องฝนตกหนักที่สุดในรอบ 12 ปี พายุกระหน่ำส่งท้ายปี และระวังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ล่าสุดวันที่ 22 ธ.ค. 2565 ทางเพจเฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแล้ว

 

กรมอุตุฯ แจงแล้ว ปมฝนตกหนักในรอบ 12 ปี พายุกระหน่ำส่งท้ายปี ระวังน้ำท่วมใหญ่

โดยมีกระแสข่าวโพสต์เตือนภัยโดยระบุว่าฝนตกหนักที่สุดในรอบ 12 ปี พายุกระหน่ำส่งท้ายปี และระวังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าประเทศไทยไม่มีพายุกระหน่ำแต่อย่างใด ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีที่มาจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา หากมีพายุเกิดขึ้นจริง กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศเตือนล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และสภาพอากาศในช่วงวันที่ 24 - 25 ธ.ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลงเล็กน้อยและยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว

กรมอุตุฯ แจงแล้ว ปมฝนตกหนักในรอบ 12 ปี พายุกระหน่ำส่งท้ายปี ระวังน้ำท่วมใหญ่

สำหรับในช่วงวันที่ 21 - 25 ธ.ค. 65 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง

 

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อมิให้เกิดความสับสน และตื่นตระหนกขึ้นในสังคม หากมีสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพื่อเติมสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.tmd.go.th โทรสายด่วน 1182


บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ประเทศไทยไม่มีพายุกระหน่ำแต่อย่างใด ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีที่มาจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งในช่วงวันที่ 24 - 25 ธ.ค. 65 ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลงเล็กน้อยและยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวเท่านั้น


หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Tnews