"คนละครึ่งเฟส5" รอบนี้ให้น้อยแค่800 กับเสียงสะท้อนปชช. คิดเห็นกันอย่างไร
ต้อนรับกระเเสโครงการคนละครึ่งเฟส5 เริ่มวันเเรก1ก.ย.65นี้ "ทีมข่าวไทยนิวส์" พาไปฟังเสียงสะท้อนประชาชนกับคนละครึ่งเฟส5 คิดเห็นกัน อย่างไร??
ในวันพรุ่งนี้ 1 ก.ย.65 จะเป็นวันแรกของโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ที่เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไม่เกินคนละ 800 บาท โดยรัฐช่วยจ่าย 50% สูงสุดวันละ 150 บาท เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ต.ค. 2565 ล่าสุด"ทีมข่าวไทยนิวส์ " จึงได้มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับคนละครึ่งเฟส 5 ทั้งประชาชนเองและผู้ประกอบการร้านค้าในเรื่องดังกล่าว
โดย นายกรเอก ปราบพิสิษฐ ประกอบอาชีพอิสระระบุว่า โครงการคนละครึ่งเฟสที่ 5 ที่เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในครั้งนี้ส่วนตัวรู้สึกว่าน้อยไป อยากจะให้เพิ่มมากกว่านี้ และอยากให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เพราะนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องในเบื้องต้นได้ พร้อมฝากไปยังรัฐบาลให้เร่งแก้ไขปัญหาในเรื่องปากท้องประชาชนและเรื่องเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
ด้าน น.ส.จุฑามาศ บุญทา ประกอบธุรกิจส่วนตัว ระบุว่าตนเองได้มีการลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้คนละครึ่งเฟส 5 ในครั้งนี้จะได้จำนวนเงิน 800 บาทซึ่งน้อยกว่าครั้งก่อนๆ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ โดยจำนวนเงินดังกล่าวที่รัฐบาลได้ให้มาตนก็จะนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนโครงการคนละครึ่งอยากจะให้มีในครั้งต่อไปเรื่อยๆเพื่อที่จะได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาแบ่งเบาภาระในครอบครัว
ขณะที่ผู้ประกอบการร้านค้าอย่าง น.ส.อุศนา อาเเซ ระบุว่า โครงการคนละครึ่งของรัฐบาลที่ให้กับประชาชนนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างน้อยเขาก็ช่วยค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาหมุนเวียนได้อีกครั้ง โดยเฉพาะการใช้จ่ายของประชาชนใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น สินค้าบางชนิดที่อาจจะมีราคาแพงเราไม่กล้าซื้อแต่พอมีคนละครึ่งก็ช่วยให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ซึ่งโครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ดีในการช่วยเหลือประชาชนแต่ครั้งต่อไปอยากจะให้เพิ่มจำนวนเงินให้มากกว่านี้ เพราะทุกครั้งที่มีการสนับสนุนโครงการดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง
เช่นเดียวกับ น.ส.อทิตยา โต๊ะปาลัส ที่ระบุว่า โครงการคนละครึ่งถือเป็นโครงการที่ดีที่รัฐบาลจัดสรรมาให้ แต่ถ้ามองในลักษณะของจำนวนเงินถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบัน รวมถึงจำนวนประชากรที่ยังไม่เข้าถึงโครงการดังกล่าว แต่ส่วนตัวก็เข้าใจว่างบประมาณของรัฐบาลมีจำนวนจำกัด ประกอบกับคนที่เก่งในเรื่องเทคโนโลยีก็จะสามารถเข้าถึงได้มากกว่าคนที่ไม่เก่งเทคโนโลยี
ข้อดีของโครงการนี้ก็มีอย่างน้อยในระยะเวลา 1-2 เดือนประชาชนก็มีกำลังซื้อที่ดีขึ้น แต่หลังจากโครงการนี้หมดไปเศรษฐกิจก็จะกลับมาซบเซาอีกครั้ง จึงอยากจะให้มีโครงการนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจำนวนเงินจะไม่เพิ่มขึ้นแต่ก็อยากให้เพิ่มจำนวนการแจกจ่ายประชาชนให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ TNEWS