เปิดคำพูด "นักธุรกิจภูเก็ต" เชื่อ ฝีดาษวานร ส่งผลกระทบระยะสั้น
นักธุรกิจภูเก็ตเชื่อว่า “ฝีดาษวานร” ส่งผลกระทบเพียงช่วงสั้นๆ เหตุติดต่อได้ยาก หากป้องกันได้ดีจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เหมือนโควิด-19 ขณะที่ภาพรวมของการท่องเที่ยวพบว่ากลับมาแล้วประมาณ 50-60%
สืบเนื่องจากกรณีพบผู้ป่วยฝีดาษวานรรายแรกที่จังหวัดภูเก็ต โดยเป็นเพศชาย สัญชาติไนจีเรีย อายุ 27 ปี มีประวัติเดินทางมาจากประเทศไนจีเรีย เข้ามาประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 จากนั้นได้เดินทางมาพักอาศัยอยู่ที่ จ.ภูเก็ต จนถึงปัจจุบัน โดยไม่ได้เดินทางไปไหนเลย กระทั่งเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เข้ารับการรักษาโดยเป็นผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลเอกชน ด้วยมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก มีผื่นแดง ตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง เริ่มจากอวัยวะเพศลามไปใบหน้า ลำตัว แขน มีประวัติสัมผัสนักท่องเที่ยวในสถานบันเทิงที่ป่าตองใน 2-3 สัปดาห์ก่อนป่วย พร้อมทั้งให้ประวัติมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ปลอดภัยกับเพศหญิงไม่สามารถระบุสัญชาติได้
และจากการส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบเชื้อ Monkeypox virus ก่อนจะมีการประกาศว่า เป็นผู้ป่วยฝีดาษวานรรายแรกของประเทศไทย แต่หลังจากแจ้งให้เจ้าตัวทราบ ปรากฏว่า ครั้งแรกยอมที่จะเข้ารับการรักษา ต่อมาภายหลังได้หลบหนีหายตัวไป ทำให้ต้องมีการสอบสวนโรคผู้สัผัสใกล้ชิดจำนวนมาก
เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวนายบุญ ยงสกุล ประธานกรรมการ บริษัท โบ๊ทพัฒนา จำกัด กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่า มีผลกระทบบ้างเล็กน้อย ด้วยคนที่กลัวจะเป็นกลุ่มครอบครัว และคนมีอายุ ซึ่งกลุ่มนี้จะเดินทางน้อยอยู่แล้วตั้งแต่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด19 แต่หากมีการศึกษาอย่างละเอียดจะพบว่า ไม่ติดต่อง่ายเหมือนกับโควิด-19 ทั้งนี้หากจะติดก็ต้องเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิด หรือมีแผล จึงติดได้ค่อนข้างยาก และที่สำคัญมีโอกาสรักษาได้ง่ายกว่า เชื่อว่า จะเป็นผลกระทบในระยะสั้นๆ เพียง 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ส่วนในระยะยาว หากสามารถป้องกันได้ดีจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับโควิด
อย่างไรก็ตามนายบุญ ยังกล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวในภาพรวมของภูเก็ต ว่า ดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน อย่างน้อยทุกคนก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 และยอมรับว่าโควิด-19 จะหมดไปในปีนี้หรือปีหน้า แต่หากติดแล้วจะรักษาตัวอย่างไร ประกอบการแพทย์ก็มีประสบการณ์ ความกลัวของผู้คนลดน้อยลง แต่ทุกคนก็ไม่ประมาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ทำให้คนกล้าที่จะเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ประกอบกับมีสายการบินบินตรงเข้ามายัง จ.ภูเก็ตเพิ่มมากขึ้น ทั้งสายการบินภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น อีสาน เหนือ ลาว เขมร อเมริกา แคนนาดา เป็นต้น และก่อนการเดินทางเขาก็มีการศึกษาข้อมูลก่อนและมีความมั่นใจจึงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเที่ยว
นอกจากนี้จากการทำธุรกิจท่าเทียบเรือก็พบว่า จำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นจากที่หายไปในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 นอกเหนือจากคนไทยแล้ว ยังมีชาวต่างชาติ เช่น อิสราเอล อินเดีย เมียนมา เป็นต้น ในส่วนของโรงแรมที่พักก็พบว่า มีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น จึงทำให้เกิดความหลากหลายของกลุ่มนักท่องเที่ยว ดังนั้นเมื่อประเมินในภาพรวมพบว่า การท่องเที่ยวของภูเก็ตดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับก่อนโควิด 100% ขณะนี้กลับมาแล้วครึ่งทาง หรือประมาณ 50-60%