วิกฤตอาหารแพง ร้านอาหารทั่วโลกต้องขึ้นราคา จนลูกค้าหายเพราะจ่ายไม่ไหว

วิกฤตอาหารแพง ร้านอาหารทั่วโลกต้องขึ้นราคา จนลูกค้าหายเพราะจ่ายไม่ไหว ผลพวงจากสงคราม ทำให้เกิดวิกฤตอาหารราคาแพง ซึ่งมันส่งผลรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ร้านอาหารในต่างประเทศแทบจะไม่มีลูกค้าเข้าด้วยเหตุผลที่ว่า จ่ายไม่ไหว ซึ่งคาดว่าราคาอาหารจะยิ่งแพงขึ้นไปอีกจากวิกฤตสงครามในยูเครน และการที่อินโดนีเซียสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มไปต่างประเทศ

โดยวิกฤตวัตถุดิบทำอาหารราคาแพงโดยเฉพาะน้ำมันพืช ทำให้ร้านอาหารทั่วโลกต้องขึ้นราคาจนลูกค้าเริ่มที่จะจ่ายไม่ไหว อย่างร้านอาหารในเมืองอิสตันบูลของตุรกี บอกว่าราคาน้ำมันดอกทานตะวัน ซึ่งใช้ในการทอดปลาและอาหารทะเล พุ่งสูงขึ้นถึง 4 เท่า หากเทียบกับราคาเมื่อปี 2019 ทำให้ทางร้านต้องตัดสินใจขึ้นราคาอาหารในร้านตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ที่ร้านมีลูกค้าน้อยลง เจ้าของร้านเล่าว่าลูกค้าบางคนเข้ามานั่งในร้านแล้ว พอได้เห็นราคาอาหารในเมนู ลูกค้าหลายคนถึงกับเบือนหน้าหนีและลุกออกจากร้านไปเลย เพราะสู้ราคาไม่ไหวจริงๆ 

ตามรายงานระบุว่า ราคาน้ำมันพืชสำหรับทำอาหารเริ่มแพงขึ้นตั้งแต่ช่วงที่โควิดเริ่มระบาด ซึ่งมีสาเหตุหลายอย่าง ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ไม่ดี ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และยังถูกแย่งผลผลิตไปใช้ทำเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับรถยนต์อีก ล่าสุดผลกระทบจากสงครามในยูเครนยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนัก เพราะยูเครนเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดอกทานตะวันมากถึง 50% ของที่ใช้กันทั้งโลก ส่วนรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดอกทานตะวันอีก 25%

นอกจากราคาน้ำมันพืชจะพุ่งสูงแล้ว ราคาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และพืชอีกหลายชนิด ก็พุ่งสูงขึ้นด้วย อย่างราคาเมล็ดถั่วเหลืองที่เคยขายกันที่ราคา 765 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อปี 2019 แต่ราคาเมื่อเดือนมีนาคมทีผ่านมา เพิ่มเป็น 1,957 ดอลลาร์ (หรือราวๆ 67,000) ต่อตันแล้ว ซึ่งนี่เป็นข้อมูลล่าสุดจากธนาคารโลก 

ส่วนราคาน้ำมันปาล์มในอินโดนีเซียก็เพิ่มสูงเกิน 200% และคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นอีก หลังจากที่รัฐบาลมีคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มไปต่างประเทศ ซึ่งก็ทำให้แม่ค้าขายอาหารในอินโดนีเซียกำลังลำบาก ที่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น กำไรลดลง จะขึ้นราคาอาหารมากก็ไม่ได้ เพราะกลัวว่าถ้าอาหารราคาแพงเกินไป ลูกค้าจะหาย 

ภาพจาก เนชั่นทันโลก NTV World News