เจ้าของเครื่องเซ่นไหว้ เผย "แตงโม" มาหาอีกแล้ว บอกจะพูดทุกอย่างให้รู้
แตงโม นิดา มาหาอีกแล้ว เจ้าของบทสวดศาสนาคริสต์ - เครื่องไหว้ บอกจะพูดทุกอย่างให้รู้ แต่มีข้อแม้เดียวเท่านั้น
จากกรณี เจ้าของบทสวดศาสนาคริสต์ เครื่องไหว้ปริศนา บอก แตงโม นิดา มาหาอีกแล้ว จะพูดทุกอย่าง ยังสร้างความสงสัยคาใจให้กับประชาชนและเพื่อนๆ ในวงการของ แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ อย่างมาก หลังจากที่นักแสดงสาวโชคร้ายลงเรือสปีดโบ๊ทไปกับแก๊งเพื่อนๆ อีก 5 คนในแม่น้ำเจ้าพระยากลางดึกในวันที่ 24 ก.พ. 65 ก่อนจะมีการแจ้งข่าวว่า แตงโม นิดา พลัดตกเรือสปีดโบ๊ทจมหายไป ซึ่งก่อนหน้านี้ กระติก อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ ผู้จัดการส่วนตัว และ แซน วิศาพัช มโนมัยรัตน์ ได้ออกมาให้ข้อมูลที่หลายคนต้องตั้งข้อสงสัย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้านผู้ใช้เฟซบุ๊ก จักรรินทร์ รังสิมันตุ์ธนากร ผู้ที่นำถุงใส่ผลไม้ ส้ม ชมพู่ ดอกบัว และ พวงมาลัย 4 พวง พร้อมบทสวดศาสนาคริสต์ มาแขวนไว้ใกล้จุดอำนวยการค้นหา ก่อนที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจะมาพบว่ามีจดหมาย ระบุว่า ให้ผู้หญิงช่วยทำพิธี อ่านบทสวดตามที่เขียนมาให้ครบทุกหน้าแล้วนำพวงมาลัยดอกบัวในถุงลอยน้ำ แล้วจะพบร่าง
โดยกู้ภัยฯ ได้นำไปให้ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ดู ก่อนจะให้ดาราสาวอีกคนที่ไปด้วยทำตามที่บอก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ร่างแตงโม นิดา ก็ลอยขึ้นมาให้พี่ชายเห็นในช่วงบ่ายของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 สิ้นสุดการค้นหาร่างแตงโม
ล่าสุด นายจักรรินทร์ รังสิมันตุ์ธนากร ได้ไลฟ์สดพร้อมระบุเพียงว่า "พระเจ้า พระพุทธเจ้า หากเกิดในยุคนี้ ท่านคิดว่าพระองค์ทรงประกาศศาสนาอย่างไร และพระศาสดาจะทำอย่างไรกับการเริ่มต้นใหม่ของบุญยุค หรือยุคศิวิไลซ์" ซึ่งในไลฟ์นี้ เขาได้บอกให้บางสิ่งไปสู่สุคติได้แล้ว
จากนั้น เขายังได้โพสต์อีกว่า "มาหาอีกแล้ว ไม่รู้จะให้ช่วยอะไร ตี 3.25 น. บอกแค่ว่าทำไม ไม่พูดความจริง เหตุการณ์อื่นก่อนจะเดินไปหลังเรือ จะไปกรรมฐานแล้วครับ" พร้อมทั้งระบุในช่องคอมเม้นต์อีกว่า "ผมตอบทุกคนในนี้ไม่หมดแน่นอน เอาเป็นว่า ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เขาจะบอกอะไร ผมบอกเขาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า
ถ้าเกิดครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเขา ถามวันที่ผมไปเคารพศพ ผมจะพูดแค่วันนั้นเท่านั้น บางเรื่องเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวโลกวิญญาณกับโลกกฎหมายมันคนละเรื่องกันครับ"
ก่อนที่เขาจะโพสต์ต่อมาอีกว่า "จิตสุดท้ายก่อนตายของมนุษย์คิดอะไรอยู่ ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย และความตายไม่เคยมีนิมิตหมาย เราไม่อาจรู้เลยว่าเราจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ยาวนานแค่ไหน แต่เมื่อเราตายไปก็มีเพียงแค่ผลบุญและบาปที่เราได้กระทำไว้ตอนยังมีชีวิตเท่านั้น ที่สามารถนำติดตัวไปได้ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
“จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป และ “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป เมืองมนุษย์มีกฎหมายสำหรับความผิดจะชำระให้ชำระไม่ได้จริงก็อีกเรื่องนึง ดวงวิญญาณสุดท้ายก็เช่นเดียวกัน หากความจริงยังไม่ปรากฏลงนั้นถึงจะหลุดพ้น
แต่ยอมเรียกร้องต่อศาลวิญญาณอยู่ดี ว่าตนเองยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ดวงจิตสุดท้ายก็จึงยังไม่หลุดพ้น ถึงไม่โกรธ ถึงไม่อาฆาต แต่ทุกดวงวิญญาณก็อยากให้เกิดความจริง เพราะความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หากมีความจริงบนโลกใบนี้แล้วไม่มีการโกหกแล้ว ก็จะไม่เกิดอาชญากรรม ธรรม สุดท้ายจึงเน้นที่ความจริง คนผู้ปฏิบัติอาศรมอริยสัจ 4 เพียงแค่คิดจะโกหก ศิลก็ขาดแล้ว ถ้าโลกใบนี้ พูดความจริงทั้งสามโลกก็จะมีแต่ความจริงในอาศรมอริยสัจ 4 จึงมีแต่คนดีงามที่สุด"
ข้อมูลจาก จักรรินทร์ รังสิมันตุ์ธนากร