ทำความรู้จัก โควิดสายพันธุ์เอปซิลอน ที่ WHO ต้องเพิ่มในลิสต์เฝ้าระวัง

ดูเหมือนว่าเจ้าโควิด19 จะมีการวิวัฒนาการในตัวเองอย่างชาญฉลาดจริงๆ เสียด้วย เมื่อก่อนหน้านี้ประเทศเกาหลีใต้ได้พบกับเรื่องราวสุดช็อกไปแล้ว เนื่องจากเพิ่งตรวจพบผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์เดลตาพลัสเป็นครั้งแรกในประเทศจากชาย 2 รายที่อยู่แต่ในประเทศไม่ได้เดินทางไปไหนเลย กับชาวต่างชาติหนึ่งราย

อ่านข่าว - เกาหลีใต้ผวา เจอผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์เดลตาพลัส ครั้งแรกในประเทศ

เกี่ยวกับเรื่องนี้สื่อต่างประเทศได้รายงานข้อมูลที่น่าตกใจอีกว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแคว้นปัญจาบ ของปากีสถาน ได้เผยแถลงการณ์ถึงข้อมูลสำคัญ เพื่อเป็นการแจ้งเตือน เนื่องจากใน ปากีสถาน ได้ตรวจพบผู้ป่วยโควิด 19 สายพันธุ์เอปซิลอน (Epsilon) ในเมืองละฮอร์ จำนวน 5 ราย จากกลุ่มตัวอย่างที่ตรวจพบเชื้อจำนวน 23 ราย

ตามรายงาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในปากีสถานบางรายเชื่อว่า โควิดสายพันธุ์เอปซิลอน สามารถต้านทานวัคซีนโควิดได้มากขึ้น ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ต่อผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ อีกทั้งแพทย์ยังอธิบายอีกว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เอปซิลอนที่ตรวจพบในเมืองลาฮอร์นั้น มีอัตราการติดเชื้อสูง 

นอกจากนี้  โควิดสายพันธุ์เอปซิลอน ยังสามารถแพร่เชื้อได้สูงพอๆ กับสายพันธุ์เดลตา หรือ สายพันธุ์อินเดีย ทั้งยังอาจกลายเป็นสายพันธุ์ที่จะแพร่ระบาดรุนแรงในปากีสถาน

สำหรับ โควิด 19 สายพันธุ์เอปซิลอน หรือ B.1.429 หรือที่เรียกว่า CAL.20C นี้นั้น ถูกตรวจพบครั้งแรกในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐอเมริกาในปี 2563 ถูกจัดอยู่ในประเภทสายพันธุ์กลายพันธุ์ที่น่ากังวล เนื่องจากพบการเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งจากผลการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่า มีการกลายพันธุ์ 3 จุดในโปรตีนขัดขวาง ซึ่งจะช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงการป้องกันจากวัคซีนที่มีอยู่ปัจจุบัน

ขณะที่ด้าน องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้เพิ่มชื่อไวรัสสายพันธุ์เอปซิลอน ลงในลิสต์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา ระบุว่าในขณะนั้นว่าเป็นสายพันธุ์ที่น่าจับตา ก่อนต่อมา ในวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จะเปลี่ยนสถานะให้อยู่ในระดับติดตามเฝ้าระวัง

อย่างไรก็ตาม ในรายงานยังได้เผยข้อมูลอีกว่า โควิด 19 สายพันธุ์เอปซิลอน เป็นสายพันธุ์หลักมีมีการระบาดมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในนิวยอร์ก ภายหลังจากตรวจพบครั้งแรกในแคลิฟอร์เนีย และขณะนี้มีสายพันธุ์ดังกล่าวอยู่ในอย่างน้อย 34 ประเทศทั่วโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก indiatoday.in, dnaindia.com