สืบเนื่องจากที่ประกาศจากราชกิจจานุเบกษาให้ยกระดับล็อคดาวน์ และเพิ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 13 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร , จังหวัดสมุทรสาคร , จังหวัดนครปฐม ,จังหวัดนนทบุรี ,จังหวัดปทุมธานี ,จังหวัดสมุทรปราการ 4 จังหวัดภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส , จังหวัดปัตตานี , จังหวัดยะลา , จังหวัดสงขลา 3 จังหวัดใหม่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา , จังหวัดชลบุรี , จังหวัดฉะเชิงเทรา
โดยก่อนหน้านี้ทีมข่าวไทยนิวส์ได้รวบรวมข้อสรุปทั้งมาตรการขอความร่วมมือและงดการทำกิจกรรมต่างๆ ที่มีส่วนที่จะทำให้กลายเป็นแหล่งหรือสะสมของเชื้อโรค ซึ่งจะมีผลร้ายตามมาภายหลังหากกิจการ หรือ กิจกรรมนั้นๆ ตรวจพบผู้ติดเชื้อขึ้นมาจริงๆ โดยประกาศถึงกฎระเบียบดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
อ่านข่าว - ล็อคดาวน์ 13 จังหวัดเข้มพรุ่งนี้ เช็คมาตรการเข้ม กิจกรรมไหนทำได้ - ไม่ได้บ้าง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางด้านศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 โดยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. ได้ระบุชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงการคาดการณ์ความเป็นไปได้ของการติดเชื้อโควิดในไทย จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
จากการประชุมดังกล่าว มีการใช้ข้อมูลถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ซึ่งได้คาดการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากไม่ทำอะไรเลย มีโอกาสที่จะมีผู้ติดเชื้อมากถึง 31,997 รายต่อวัน แต่ในทางกลับกัน หากทำให้ดีที่สุดจะมีผู้ป่วยอยู่ที่ 9,018 - 12,605 รายต่อวัน และค่ากลาง 9,695 - 24,204 รายต่อวัน
หมอทวีศิลป์ อธิบายต่อไปว่า แต่หากมาตรการเกิดขึ้นโดยเร็วหากทุกคนร่วมมือค่ากลางที่เป็นค่าล่างจะยังสูงอยู่ ซึ่ง รวมถึงมีผลการศึกษาจากธนาคารกรุงศรีฯ ที่ WHO ได้นำผลศึกษาไปอ้างอิงคาดการณ์การฉีดวัคซีนถึงปลายปี หากฉีดวัคซีนได้ดีเคสที่ดีที่สุดจะลงในช่วงเดือนกันยายน
ซึ่งปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยยังสูงไปที่ 15,000 ราย ถึงช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายนและหากแน่ที่สุดตัวเลขจะสูงถึง 22,000 ราย ในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน และจะลงมาในช่วงเดือนตุลาคม หากได้ฉีดวัคซีนได้ตามที่กำหนดในช่วงไตรมาสที่ 4
โฆษก ศบค. กล่าวต่ออีกว่า "ในข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 ของพระราชกำหนด ฉบับที่ 28 ซึ่งจะมีการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด โดยในพื้นที่ของภาคกลางในที่ประชุมให้งดภารกิจที่จะต้องเดินทางออกนอกเคหสถานหรือที่พำนักโดยไม่จำเป็น ช่วงเวลากลางวันขอให้ท่านลดการเดินทางให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
อยากจะขอให้ประชาชนของพื้นที่ที่มีความเข้มงวดสูงสุด งดเดินทางที่ไม่จำเป็น และหากใครที่สามารถทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home ได้ อยากให้ทำ ซึ่งจะลดการเดินทางที่ไม่จำเป็นลงได้ ซึ่งการเดินทางที่ได้รับการยกเย้นคือ จัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหาร ยา เวชภัณฑ์ พบแพทย์ เข้ารับบริการทางสาธารณสุข การรักษาพยาบาลการรับวัคซีนป้องกันโรค หรือมีความจำเป็นเพื่อปฏิบัติงานหรือประกอบอาชีพที่ไม่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งหรือ WFH ได้"
หมอโฆษกยังได้แถลงอีกว่า ฝ่ายความมั่นคงได้มีการพูดคุยกันว่าจะมีการตั้งด่าน ซึ่งผู้ที่อยู่พื้นที่สีแดงเข้ม หากจะออกข้างนอกจะได้รับความไม่สะดวก เนื่องจากจะมีการตั้งด่านรอบขอบนอกของพื้นที่ 6 + 3 จังหวัดอย่างเข้มข้น พร้อมกันนี้จะมีชุดตรวจเข้มแข็งกระจายอยู่ในขอบของ 9 จังหวัด ที่จะมีด่านตรวจทั้งเข้าและออก ทั้งนี้ระหว่างสมุทรปราการออกไปทางภาคตะวันออก
จากรายละเอียดทางที่ประชุมได้แจ้งว่า จะมี 3 แนวทางที่เข้มข้นขึ้นคือ
1. การแสดงหลักฐานการอนุญาตต่อเจ้าพนักงานในพื้นที่ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต หัวหน้าสถานีตำรวจ ที่ได้ขอมา
2. ต้องผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะที่ด่านตรวจด้วย
3. ต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ COVID-19.in.th ซึ่งจะได้รับคิวอาร์โค้ดออกมาเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจ ซึ่งขณะนี้ทางด่านกำลังตรวจสอบระบบ
ดังนั้นหากไม่จำเป็นขอให้อย่าเดินทางอยู่ในเคหสถานเท่านั้น เพราะขณะนี้ทั่วโลกใช้วิธีการล็อคดาวน์ โดยมาตรการดังกล่าวจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้ ซึ่งคนใน 13 จังหวัดจะถูกบล็อคไว้ ไม่ให้ออกไปได้ง่ายๆ เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยง ในขณะที่บุคคลอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอกจะเข้ามาได้ แต่ต้องมีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งจะใช้ 13 จังหวัดนี้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และทำให้เต็มที่ใน 14 วัน