วันนี้ (20 มิ.ย.2564) ได้เกิดเหตุ ลักทรัพย์เกิดขึ้นภายในร้านเช่าพระเครื่อง "ก้อยบารมีเชียงใหม่" ย่านตลาดพระเครื่องโลตัสคำเที่ยง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่ทางนายก้อย บารมี อายุ 34 ปี เจ้าของร้าน ได้นำภาพกล้องวงจรปิดมาโพสต์ลงในโลกสังคมออนไลน์ เพื่อขอความช่วยเหลือในการติดตามตัวชายหนุ่มเสื้อลายภายในคลิป อายุประมาณ 19-20 ปี ที่ก่อนเกิดเหตุ ชายหนุ่มคนดังกล่าวได้เข้ามาภายในร้าน ทำทีนำพระเครื่องมาปล่อยเช่าให้กับทางร้าน และหลังพูดคุยกับทางเจ้าของร้านไม่นาน ชายคนดังกล่าวได้เดินออกจากร้าน พร้อมกับหยิบหมวกกันน็อคบิ๊กไบค์สีแดงของเจ้าของร้าน ที่วางอยู่บริเวณด้านหน้าติดมือไปด้วย โดยไม่เกรงกลัวคนที่อยู่ภายในร้านและกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ในร้าน โดยกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ได้อย่างชัดเจน
โดยนายก้อย บารมี กล่าวว่า เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นช่วงเย็น ของวันที่ 19 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 17.38 น. ชายวัยรุ่นเสื้อลายที่ปรากฏภายในคลิปได้เดินเข้ามาที่ร้านทำทีนำพระเครื่องซึ่งเป็นพระกรุมาขายให้กับทางร้าน แต่ทางตนได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าพระองค์ดังกล่าวไม่ใช่พระแท้ซึ่งเป็นพระที่อยู่ในกองตลาด แต่ทางชายคนดังกล่าวอ้างเหตุผลว่า ตัวเองตกงาน ไม่มีเงินกินข้าว ด้วยความเห็นใจ ตนจึงรับพระเครื่องที่ชายคนดังกล่าวนำมาขายไว้ เพื่อช่วยเหลือให้เงินไปกินข้าว 200 บาท
พร้อมทั้งบอกด้วยว่าหากอยากได้คืนวันข้างหน้าสามารถนำเงินมาไถ่คืนไปได้ และภายหลังจากที่ได้เงินไปทางชายหนุ่มคนดังกล่าวได้ยกมือไหว้ขอตัวกลับ ก่อนจะเปิดประตูออกจากร้าน โดยระหว่างนั้นตนไม่ทันได้ระวังตัวและไม่ทันสังเกต โดยหลังจากชายคนดังกล่าวออกร้านไปก็ปรากฏว่าได้หยิบหมวกกันน็อคที่วางไว้หน้าร้านไป โดยที่ตนก็ยังไม่รู้ตัวจนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน ถัดไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จึงรู้ว่าหมวกกันน็อคหายไป และมาตรวจกล้องวงจรปิดก็พบว่าชายคนดังกล่าวขโมยไป
นายก้อย กล่าวต่อว่า เหตุการณ์การที่เกิดขึ้นไม่คิดว่าชายคนดังกล่าวจะกล้าก่อเหตุ และตนคิดว่าเพิ่งทำบุญช่วยเหลือไป แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ โดยหมวกกันน็อคที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นยี่ห้อ SHOEI ราคา 25,000 บาท โดยหลังจากทราบเรื่อง ตนได้ประกาศติดตามหาในโซเชียล และเพจต่างๆ รวมทั้งแจ้งพรรคพวกกลุ่มบิ๊กไบค์ที่รู้จักกัน จนกระทั่งไม่นานทราบจากพลเมืองดีที่เปิดร้านขายหมวกกันน็อค มาแจ้งว่ามีคนนำหมวกกันน็อคมาขายที่ร้าน โดยไม่ทราบรุ่นและยี่ห้อ โดยทางชายคนดังกล่าวที่เอาไปนั้น น่าจะไม่ทราบว่าหมวกกันน็อคดังกล่าวมีมูลค่าสูง และได้เสนอขายกับทางร้านเพียงราคา 300 บาท ซึ่งทำให้ทางร้านผิดสังเกตและคาดว่าเป็นหมวกที่ถูกขโมยมา จึงได้รีบรับไว้ พร้อมทั้งขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของชายคนดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน จนทำให้ทราบตัวในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทราบตัวชายคนก่อเหตุและมีหลักฐานพร้อมที่จะดำเนินคดี โดยตนอาจจะเข้าไปเจรจากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากเป็นคดีลักทรัพย์แต่ขณะนี้ตนได้ทรัพย์สินคืนแล้ว จึงอยากปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนว่าจะดำเนินการในลักษณะใด โดยในเบื้องต้นตอนนี้ตนกำลังจะเรียกตัวชายคนก่อเหตุมาพบ พร้อมทั้งจะว่ากล่าวตักเตือน และอาจจะพิจารณาไม่เอาความหากผู้ก่อเหตุสำนึกผิด โดยจะดูจากพฤติกรรมของชายคนดังกล่าวอีกที เนื่องจากไม่อยากให้ชายคนดังกล่าวเสียอนาคต ถ้าหากแจ้งความดำเนินคดีไปก็อาจทำให้ชีวิตของเค้าเปลี่ยนไป อยากลองพูดคุยตักเตือนก่อน แต่หากพบว่ามีพฤติกรรมที่ไม่ดี อาจต้องส่งตัวให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป