thainewsonline

เปิดผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ​ มากกว่าแค่ได้รับบริจาควัคซีน 25 ล้านโดส

09 มิถุนายน 2564
เปิดผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ​ มากกว่าแค่ได้รับบริจาควัคซีน 25 ล้านโดส

จากที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐประกาศว่าจะมีการบริจาควัคซีนโควิด-19 ให้กับหลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในประเทศที่จะได้รับการบริจาควัคซีนด้วยก็คือ ไทย โดยจะบริจาควัคซีนส่วนใหญ่ ผ่านโครงการโคแวกซ์ (COVAX) นำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)

แจกจ่ายวัคซีนไปตามประเทศยากจน ซึ่งจะส่งออกวัคซีนโควิด-19 อีก 20 ล้านโดส ของบริษัท “ไฟเซอร์ อิงก์-ไบโอเอนเทค เอสอี” “โมเดอร์นา อิงก์” และ “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” ซึ่งได้รับการอนุมัติการใช้งานฉุกเฉินภายในประเทศ และวัคซีนอีก 60 ล้านโดส ของบริษัท “แอสตร้าเซนเนก้า พีแอลซี” ที่สหรัฐกำลังส่งออก แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติใช้งาน

ลาซาด้ามีโปรเด็ด ลาซาด้ามีโปรเด็ด

ไม่เพียงแค่วัคซีนจำนวนหนึ่งที่จะได้รับ สหรัฐยังส่งความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข พร้อมงบประมาณอีกเกือบ 1,000 ล้านบาทให้กับประเทศไทยอีกด้วย ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากความช่วยเหลือนี้ เปิดเผยข้อมูลจากทาง สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำกรุงเทพมหานคร ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีสหรัฐ สนับสนุนไทยในการต่อสู้กับโควิด-19 ดังต่อไปนี้

- รัฐบาลสหรัฐ ประกาศกรอบความร่วมมือเพื่อแบ่งปันวัคซีนจำนวน 80 ล้านโดสทั่วโลกภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ในแผนการส่งมอบวัคซีน 25 ล้านโดสแรก จะมีวัคซีนจำนวน 7 ล้านโดสที่มอบให้กับประเทศต่างๆ ในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยเพิ่มเติมจากความช่วยเหลือมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ ได้ประกาศว่าจะมอบให้กับโครงการ COVAX

- รัฐบาลสหรัฐ มอบความช่วยเหลือให้ไทยเพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 รวมมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้เป็นการบริจาคเครื่องช่วยหายใจ หน้ากากอนามัย แว่นตานิรภัย และอุปกรณ์ป้องกันรวมมูลค่า 17.5 ล้านดอลลาร์ ให้กับแพทย์และพยาบาลไทย รวมทั้งความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยในค่ายตามแนวชายแดน

- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ สหรัฐ (U.S. CDC) ได้มอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมมูลค่า 13 ล้านดอลลาร์ โดยทำงานเคียงบ่าเคียงไหลกับกระทรวงสาธารณสุขของไทย

สนับสนุนและส่งเสริมการตอบโต้โควิด-19 ของไทยในทุกระดับ

- การตรวจหาการติดเชื้อ: องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ตลอดจน U.S. CDC และกองทัพสหรัฐ ได้ช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างศักยภาพการตรวจวินิจฉัย โดย USAID ช่วยไทยยืนยันผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกที่เดินทางมาจากต่างประเทศเมื่อเดือนมกราคม 2563

- การเฝ้าระวังชายแดน: U.S. CDC พัฒนาศักยภาพโครงการเฝ้าระวังในค่ายอพยพ 9 แห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในตัวอย่างส่งตรวจไปแล้วกว่า 1,500 ตัวอย่าง และตรวจพบการระบาด 3 แห่ง ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในค่ายตระหนักถึงสถานการณ์การระบาดได้โดยเร็วและป้องกันการแพร่กระจายของโรคในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง

- การรักษา: USAID สนับสนุนการให้คำปรึกษาทางออนไลน์และมอบเครื่องวัดออกซิเจนในเลือดเพื่อช่วยให้กลุ่มประชากรหลักที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองและเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น โดยรวมไปถึงกลุ่มผู้อพยพ

- การพัฒนาวัคซีนและยา: นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารของสหรัฐ กำลังร่วมมือกับภาคีชาวไทยศึกษาวิจัยวัคซีนในประเทศเพื่อเร่งรัดความพยายามในการปกป้องคนไทยในอนาคต

- การบริจาคชุด PPE: รัฐบาลสหรัฐ ได้บริจาคเครื่องช่วยหายใจ หน้ากากช่วยหายใจ หน้ากากอนามัย แว่นตานิรภัย และอุปกรณ์ป้องกันรวมมูลค่า 17.5 ล้านล้านดอลลาร์ ให้กับแพทย์และพยาบาลไทย รวมทั้งมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยในค่ายตามแนวชายแดน

- โครงการให้ความรู้กับผู้อพยพ: U.S. CDC และ USAID ดำเนินกิจกรรมกับชุมชนผู้อพยพ โดยให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษาความสะอาดเพื่อยุติหรือลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 แก่ผู้อพยพและประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนกว่า 117,601 คน

- การช่วยเหลือผู้กักตัว: USAID ร่วมพัฒนาแอพพลิเคชั่น “พ้นภัย” สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อช่วยให้ประชาชนที่ต้องกักตัวอยู่ใน 69 จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศไทยได้รับการแจกจ่ายชุดยังชีพ 188,203 ชุด พร้อมทั้งน้ำดื่ม (มูลค่าเกือบ 4 ล้านดอลลาร์) ได้โดยตรงและรวดเร็ว

- การวิจัย: ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ สหรัฐ ในประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขของไทยศึกษาวิจัยโครงการการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อประเมินความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนในการฉีดวัคซีนในกลุ่มประชากรหลัก

เปิดผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ​ มากกว่าแค่ได้รับบริจาควัคซีน 25 ล้านโดส

ที่มา สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

ลาซาด้าแจกคูปองส่วนลด ลาซาด้าแจกคูปองส่วนลด

Thailand Web Stat