ภัทรกมล คน(เคย)ติดโควิดที่อินเดีย !!!
ใช่แล้วค่ะ อิฉันผู้ซึ่งอยู่แต่ในบ้าน ใส่หน้ากาก พกสเปรย์ คิดมาเสมอว่าโควิดมันไกลตัว!! แต่ในวันนี้อิฉันเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเทรนด์ระดับโลกครั้งนี้ ที่อินเดียเรียบร้อยแล้วค่ะ
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความวิตกกังวล จนจะกลายเป็นวิตกจริตมาแล้วนั้น วันนี้เลยจะมาแชร์ประสบการณ์ อาการ การรักษา ที่อินเดียในภาวะที่เกิดวิกฤตและการล็อคดาวน์กันจ้า
-----
*สรุปอาการที่เป็นทั้งหมด*
เจ็บคอ ไอ และจมูกไม่ได้กลิ่น 4 วัน โชคดีที่มีไข้ต่ำ ๆ ประมาณ 38 องศาอยู่แค่ครั้งเดียว ไม่มีอาการเมื่อยเนื้อตัว ไม่มีอาการหายใจลำบาก
-----
*สรุปการรักษา*
รักษาตัวที่บ้านด้วย อยู่คนเดียว ทานยาและพ่นยา ตามแพทย์สั่ง ยาชุดแรก 5 วัน ยาชุดที่สอง 7 วัน โดยมีบริการ Covid Home Care Service ที่สามารถปรึกษาหมอได้ตลอด หมั่นวัดค่าออกซิเจนและอุณหภูมิทุกชั่วโมง เพื่อประเมินตัวเอง
ตลอดระยะเวลา ที่มีอาการ ให้ดื่มน้ำอุ่นค่อนร้อน ดื่มน้ำอย่างต่ำวันละ 3 ลิตร กลั้วคอด้วยเบตาดีน (สำหรับกลั้วคอ) ทุก 4 ชม. เพื่อป้องกันเชื้อลงปอด พักผ่อนให้เยอะพร้อมนอนคว่ำเพื่อไม่ให้หัวใจทับปอด และทำให้ปอดรับออกซิเจนให้ได้มากที่สุด
หลังจากทานยาครบ 7 วัน หมอให้ไปตรวจ X-ray ปอด ตรวจเลือด CBC และ CRP เพื่อประเมินผลหลังรับยารอบที่ 1 จากนั้นหลังรับยาครบโดส 5 วัน ให้ไปตรวจสุขภาพอีกครั้ง
-----
*อาการ ณ ปัจจุบัน*
ยังคงมีไอนิดหน่อย หมอยังคงให้ทานวิตามิน C + D3 + Zinc ต่อเนื่องไปอีก 2 อาทิตย์ เพื่อบำรุงร่างกาย
-----
*จุดเริ่มต้นของโควิด*
เริ่มต้นจากตั้มจำเป็นต้องออกไปร่วมงานสำคัญของเพื่อนมาแล้วดันมารู้ข่าวว่าเพื่อนอีกคนที่เราเพิ่งเจอตรวจโควิดออกมาเป็นบวก โดยก่อนหน้านี้ตั้มเองซุ่มซ่ามไปเปียกฝนแล้วมีอาการเจ็บคอ ไม่มีไข้ ไม่ไอ ใด ๆ มาก่อนแล้วค่ะ
ตั้มเลยไม่รอช้า รีบไปหาหมอที่โรงพยาบาล บอกหมอว่าสงสัยว่าจะติดโควิด หมอก็บอกให้ใจเย็น ๆ กลับไปกักตัวอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวจะส่งคนจากแลปให้ไปตรวจโควิดให้ที่บ้าน ถ้ารู้ผลว่าติดจริงค่อยมาว่ากัน สนนราคาตรวจโควิดที่บ้าน 1400 รูปี (ประมาณ 600 บาท) ในวันที่ 18 เมษาช่วงเย็นค่ะ
พอวันที่ 19 เมษาช่วงเย็น อยู่ ๆ ก็เกิดรู้สึกว่าจมูกไม่ได้กลิ่นค่ะ สิ่งแรกที่ใช้พิสูจน์เพื่อความแน่ใจคือ "น้ำปลา และ น้ำยาเดทตอล" และนี่คือการเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ที่เข้าใจเลยว่าจมูกดับแล้วไม่ได้กลิ่นสิ่งใดเลยมันเป็นยังไง จากนั้นไม่นานแลปก็ส่งผลตรวจมาให้ทาง whatsapp ผลออกมาตามคาดว่า POSITIVE for SARS Cov-2 ณ จุดนั้น พูดได้เลยว่า "ไห้แตกไห้แตน" โทรไปร้องห่มร้องไห้กับที่บ้าน กังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งเอาตรง ๆ ว่าอาการก็ยังไม่มีอะไรมากนอกจากเจ็บคอ (ที่ใกล้หายมากแล้ว) ไอนิดหน่อย และจมูกดับ!!!
วันที่ 20 เมษาแต่เช้าตรู่ ตั้มโทรหาโรงพยาบาลค่ะ โทรไปถามว่าเราสามารถไปโรงพยาบาลพบหมอได้ไหม เพราะผลตรวจว่าเราติดโควิดแล้ว ที่ต้องโทรไปถามเพราะไม่รู้วิถีปฏิบัติของที่อินเดียว่า ถ้าติดแล้วเราต้องรออยู่ที่บ้านเท่านั้น จนกว่าจะมีคนมารับเราเหมือนที่เมืองไทยหรือเปล่า แต่สิ่งที่พยาบาลตอบกลับมาคือ "มาสิ ทำไมจะมาไม่ได้ เป็นหนักเหรอ ต้องการรถฉุกเฉินหรือเปล่า" พอฟังดังนั้นก็อาบน้ำ อาบท่า ใส่หน้ากากสองชั้น แบบ surgical mask + N95 (พยาบาลแนะนำมา) แล้วก็ขับรถพาตัวเองออกไปโรงพยาบาล
พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ให้วัดความดัน วัดไข้ วัดออกซิเจน และเอกซเรย์ปอด ผลออกมาทุกอย่างโอเคหมด แต่ภาพเอกซเรย์ปอดแสดงว่ามีการอักเสบนิดหน่อย หมอก็จ่ายยามาให้สำหรับ 5 วัน แล้วหมอบอกว่าที่โรงพยาบาล กำลังจะเริ่มบริการ Covid Home Care Service คือจะมีพยาบาลโทรถามอาการสามเวลา หมอวีดีโอคุยกับเราทุกวัน พร้อมทั้งนักโภชนาการโทรมาให้คำปรึกษาเรื่องอาหาร แต่ตอนนั้นยังไม่เริ่มบริการ หมอเลยให้เบอร์ส่วนตัวมาแทน บอกว่ามีไรฉุกเฉินก็วอทแอพมาจ้า (จริง ๆ มีบริการนี้จากหลายโรงพยาบาลมากนะคะ แต่เราเลือกโรงพยาบาลที่ไปหาหมอ เพราะพอรู้จักกับหมอเป็นทุนเดิมค่ะ)
หลังจากหมอให้ prescription มาแล้ว ปฏิบัติการช๊อปปิ้งของจนจิตตกก็เริ่มขึ้นค่ะ นอกจากยาที่ต้องซื้อแล้ว ก็ประกอบด้วย digital thermometer (ซึ่งที่บ้านมีอยู่แล้ว แต่ถ่านหมด การแก้ปัญหาคือซื้อใหม่มันไปเลยจ้า) Oximeter เครื่องวัดออกซิเจน Nebulizer เครื่องพ่นยา Inhaler Steamer เครื่องพ่นไอน้ำ พร้อมด้วยออกซิเจนกระป๋อง (ซื้อมาเผื่อไว้ สำหรับคนจิตตกแบบข้าพเจ้า 555) และเครื่องฟอกอากาศแบบฆ่าไวรัสได้ สั่งจากอเมซอนมาเลยจ้า
จากนั้นก็กลับมากักตัวต่อที่บ้าน วัดออกซิเจนและไข้ทุกชั่วโมง แต่ทุกอย่างก็ปกติดี
ผ่านไป 2 วัน หมอก็วอทแอพมาบอกว่า โรงพยาบาลเริ่มบริการ Home care service แล้ว สนนราคา 7 วัน 4499 รูปี (ประมาณ 2000 บาท) และ 14 วัน 10499 รูปี (ประมาณ 4500 บาท) ซึ่งแบบ 14 วันจะมีแถมถุงมือ หน้ากาก และ thermometer ตั้มก็เลยเลือกแบบ 7 วันไปก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยต่อบริการทีหลัง
ตอนนั้นความจิตตกยังมีอยู่บ้าง กลัวว่าเราจะเป็นหนัก กลัวหายใจไม่ออก หมอก็แนะนำว่า นอกจากการทานยาแล้ว เราจะต้องทานแต่น้ำอุ่นค่อนร้อนเท่านั้น และให้นอนคว่ำเพื่อให้ปอดทำงานและรับออกซิเจนให้เต็มที่ แล้วทีนี้ ตั้มซึ่งไม่เคยนอนคว่ำมาก่อน เพราะรู้สึกว่ามันหายใจไม่ออก ก็เกิดภาวะ Panic ขั้นสุด หลังจากนอนหลับในคืนวันที่ 22 เมษา อยู่ ๆ ก็สะดุ้งตื่นแล้วรู้สึกว่าตัวเองหยุดหายใจ ร่างกายไม่ยอมหายใจเองอัตโนมัติ วิตกไปหมดค่ะ แต่วัดไข้ก็ปกติ วัดออกซิเจนก็ 97-98 ตลอด จนนอนไม่ได้ ต้องลุกมานั่งดูยูทูปจนเช้า พอเล่าให้หมอฟัง หมอก็บอกว่าเราแพนิคมากไป คิดมากไป จริง ๆ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย เพราะวัดค่าทุกอย่างออกมาปกติมาก แล้วหลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ หายเจ็บคอ จมูกกลับมาได้กลิ่น ไอน้อยลง จนไปตรวจอีกครั้งได้ผลออกมาเป็นลบจ้า
คิดไว้อยู่ว่าอีกสัก 1 อาทิตย์จะเรียกเค้ามาตรวจหาค่า Antibody สักหน่อย
ท้ายนี้ขอขอบคุณทุกความห่วงใยจากครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหายทุกท่านที่ส่งทั้งข้อความและโทรมาให้กำลังใจนะคะ โดยเฉพาะพี่เชอรี่ Cherry Utsanee ที่ส่งทั้งต้มยำ จับฉ่าย และไก่สดมาตุนเสบียงให้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
แทมมี่ ณ บังกาลอร์
06-May-2021