ผลสำรวจพบชาวญี่ปุ่น 77% ไม่เห็นด้วย ต่างชาติ เข้าชมโอลิมปิกโตเกียว

สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า ผลสำรวจล่าสุดจากหนังสือพิมพ์โยมิอุริ ชิมบุน (Yomiuri Shimbun) ของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าชาวญี่ปุ่นร้อยละ 77 ไม่เห็นด้วยกับการเปิดต้อนรับชาวต่างชาติให้เดินทางเข้าประเทศมาชมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียวในช่วงฤดูร้อนนี้ ขณะที่ผู้สนับสนุนคิดเป็นเพียงร้อยละ 18 เท่านั้น

ผลสำรวจที่เผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ฯ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ยังชี้ให้เห็นว่าร้อยละ 45 ของผู้เข้าร่วมสำรวจ สนับสนุนให้จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกแบบมีผู้ชม สวนทางกับอีกร้อยละ 48 ที่สนับสนุนให้จัดการแข่งขันแบบไม่ต้องมีผู้ชม โดยการสำรวจครั้งนี้จัดทำผ่านการสุ่มโทรศัพท์หาประชาชนรวม 1,977 คน ระหว่างวันที่ 5-7 มี.ค. ที่ผ่านมา และมีผู้ยินดีเข้าร่วมสำรวจ 1,066 คน

เมื่อสัปดาห์ก่อน คณะกรรมการโอลิมปิกสากล คณะกรรมการพาราลิมปิกสากล คณะกรรมการจัดการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิกโตเกียว (TOCOG) รัฐบาลญี่ปุ่น และรัฐบาลมหานครโตเกียว ได้บรรลุฉันทามติจากการเจรจาร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นที่จะอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเพื่อชมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งจะถูกตัดสินอย่างเป็นทางการในปลายเดือนนี้ อย่างไรก็ดีสื่อญี่ปุ่นเชื่อกันว่าคำตอบสุดท้ายคือ "ปฏิเสธ" อย่างแน่นอน ส่วนประเด็นจำนวนผู้ชมในประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสนามกีฬานั้นยังไมได้ข้อสรุปจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนเมษายน

ขณะเดียวกันโยชิฮิเดะ สุงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ประกาศขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและพื้นที่โดยรอบไปจนถึงวันที่ 21 มี.ค. โดยหนังสือพิมพ์นิกเคอิ (Nikkei) รายงานว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะยังคงไว้ซึ่งมาตรการห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศอย่างเข้มงวด ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. เป็นต้นมา

ทั้งนี้ จำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนญี่ปุ่นภายในปี 2019 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 31.19 ล้านคน แต่เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2020 ลดลงเหลือ 4.31 ล้านคน โดยเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน ญี่ปุ่นได้ยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวจากบางประเทศและภูมิภาค ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 70,000 คน แต่หลังจากเผชิญการระบาดใหญ่ระลอกที่ 3 รัฐบาลญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องยกเลิกการอนุญาตเข้าประเทศสำหรับชาวต่างชาติอีกครั้ง

ที่มา China Xinhua News