"ม้า อรนภา" หลังถูกสั่งแบนงาน จนถูกลือหึ่งตกอับต้องขายสมบัติเก่ากิน
เชื่อว่าหลายคนยังเกาะติดชีวิตของ พิธีกรฝีปากกล้า “ม้า อรนภา กฤษฎี” หลังจากโดนแบนงานมานานกว่า5 เดือน จากการคว่ำบาตรของประชาชน ส่งผลทำให้ไม่มีงานทำ เลยต้องผันชีวิตมาเป็นแม่ค้าออนไลน์ขายห่อหมก
เชื่อว่าหลายคนยังเกาะติดชีวิตของ พิธีกรฝีปากกล้า “ม้า อรนภา กฤษฎี” หลังจากโดนแบนงานมานานกว่า5 เดือน จากการคว่ำบาตรของประชาชน ส่งผลทำให้ไม่มีงานทำ เลยต้องผันชีวิตมาเป็นแม่ค้าออนไลน์ขายห่อหมก โดยเจ้าตัวได้เผยผ่านรายการ คุยแซ่บshow ว่า
“ไม่ได้ฝ่าฟันอะไร อยู่นิ่งๆ เฉยๆ สบาย มีความสุขดี เรื่องทั้งหมดอย่างที่รู้ก็ไปคอมเมนต์ก็แค่นั้นเอง พูดแค่นั้นพอ ความรู้สึกตอนนั้นก็รู้ว่าเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต รุนแรง เราก็ต้องเล่นไปบทบาทนั้น เพราะมันเป็นแบบนั้น เราจะไปคัดค้านอะไรมันก็เป็นไปไม่ได้ ดิฉันไม่เคยคัดค้านอะไรเลย นี่ก็หายจากหน้าจอมาจะ 5 เดือนแล้ว แล้วในโซเชียล ดิฉันก็หายไป 4 เดือน
ก็ไม่ได้เล่นเลย ต้องบอกว่าดิฉันอกหัก คือหมายถึงว่ามันมะรุมมะตุ้มอะไรขนาดนั้น ดิฉันก็เลยคิดว่าถ้าเรื่องราวมันเป็นขนาดนี้ มารุมดิฉันขนาดนี้ ดิฉันไม่เล่นเลยก็ได้ แต่ก็ยังพูดคุยกับเพื่อนในไลน์
เรารู้สึกน้อยใจไหม?
“ดิฉันไม่เคยผิดหวังอะไรเลยในชีวิต รู้สึกอย่างเดียวคือ น้อยใจนิดนึง ไม่เสียใจด้วยนะ แต่น้อยใจที่ไม่มีเงินจากการทำงานในแต่ละเดือน ซึ่งฉันไม่เคยน้อยใจใครเลยนะ คุณอาจจะคิดว่าดิฉันน้อยใจในสิ่งที่ทุกคนพยายามให้ดิฉันออกจากงานหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนมาถึงวันที่เกิดเหตุการณ์ 30-40 ปี ดิฉันไม่เคยน้อยใจ
ต้องขอบคุณกับทุกๆ คนที่ให้โอกาสดิฉัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรายการ เจ้าของละคร เจ้าของเวที แฟชั่นโชว์ เจ้าของเสื้อผ้า คือทุกสิ่งทุกอย่าง จนมาถึงจุดนึงเพื่อนฝูงดิฉันเขาไปกันหมดแล้ว ดิฉันยังอยู่ แล้วดิฉันก็ยังยืนอยู่เป็นหนึ่งตลอด อันนี้ดิฉันต้องขอบคุณเขา สิ้นสุดไปเมื่อตุลาคม ปีที่แล้ว”
มีใครโทรมาบอกให้เลิกทำรายการไหม?
“ไม่มีใครโทร.มาเลย เขาใช้วิธีการพูดออกรายการโทรทัศน์กับลงในสื่อโซเชียลในอินสตาแกรม ดิฉันนั่งดูโทรทัศน์กับคุณแม่ เขาก็ประกาศออกมา พอเขาประกาศมาว่าดิฉันไม่ได้ทำงานนี้แล้ว ดิฉันก็เฉยๆ แม่ดิฉันก็เฉยๆ แต่ดิฉันรู้สึกว่า ลูกฉันไม่ได้ทำงานแล้ว แต่เขาก็เฉย ดิฉันก็เฉยแล้วก็นิ่ง ไม่มีความทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้ยกหูโทรศัพท์ถาม ดิฉันเป็นคนไม่เซ้าซี้ จะโทร.ไปทำไม เขาสิควรจะโทร.หาดิฉัน ดิฉันจะโทร.ไปหาทำไม (วันนั้นพอเกิดเหตุการณ์แบบนั้น พี่รู้ไหมว่ามันจะมีเรื่องงานตามมา?) ไม่รู้สิ ดิฉันไม่คิด ใครจะไปคิดล่ะ”
มีร้องไห้ไหมโดนแบน?
“ไม่เคยร้องไห้เลยกับการที่ดิฉันถูกออกจากงานทั้งหมด ทุกรายการ ดิฉันไม่ได้ร้องไห้เลย ไม่ได้เสียใจ ต้องขอบคุณมากกับการที่ดิฉันได้ปฏิบัติธรรม แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดี ต้องขอบคุณที่ดิฉันเข้าใจทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่เสียใจเลย”
“ดิฉันเขียนไปว่าอยากทำงาน ต้องบอกอย่างนี้ในแคปชั่น ในการคอมเมนต์ หรือว่าในการเขียนอะไรต่างๆ ในลักษณะของดิฉันจะเป็นสั้นๆ ได้ใจความ เพราะดิฉันเป็นคนเขียนหนังสือมาก่อน รูปนี้เป็นรูปที่ดิฉันไปเดินแบบสนุกๆ ในตลาด ดิฉันก็ไปขายของ ไปขายห่อหมก แล้วก็ไปช่วยเขาเดินแบบ ก็จะมีนางแบบคนอื่นๆ ดีไซเนอร์คนอื่นๆ มาช่วยกันเดินสนุกๆ เผื่อที่ทำให้ตลาดไม่เหมือนที่อื่น
ในอาชีพอย่างพวกเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร นักแสดง มันเป็นอาชีพรอให้เขาเรียก ดิฉันก็ต้องรอให้เขาเรียก เราก็ทำตัวให้เรามีศักยภาพที่ดี เพื่อพร้อมที่จะทำงาน ดิฉันก็พร้อมทำงานเสมอ มีไหมล่ะ อย่าใช้คำพูดว่าเป็นกำลังใจให้นะ อย่าพูด กระทำเลย”
ตอนนี้ชีวิตพลิกผันขายห่อหมก?
“ขายห่อหมก นั่นคือทำคลิปเพื่อมาบอกว่าเดี๋ยววันนั้นวันนี้ฉันจะขายห่อหมกนะ ก็จะเป็นคลิปในไอจี และในเฟซบุ๊กเท่านั้น แล้วจะมีลงในเพจห่อหมกแม่คุณม้า ลูกๆ หลานๆ ทำเพจอันนี้ให้คุณแม่แค่นั้นเอง ดิฉันก็จะมีการขายแบบนั้น แล้วก็มีขายเสื้อผ้า ตั้งแต่ตอนที่ดิฉันทำงานมาตลอด ก่อนหน้านี้ 2 ปีผ่านมา โปรดิวเซอร์คนนึงก็ลุกมาทำเพจแม่ม้ามาแล้ว เราเห็นว่าเรื่องราวออนไลน์มันมีอิทธิพลมากขึ้น ก็ทำออนไลน์ดีกว่า เราก็เลยหันมาทำออนไลน์”
เอาแบรนด์เนมหลักเป็นแสน เป็นหมื่น มาขายหลักพัน?
“พอหลังจากนั้นเราก็หยุดไป เพราะด้วยเศรษฐกิจการหาโฆษณามันก็ลดน้อยถอยลง เราก็เลยหยุดไปตั้งแต่มีโควิด พอมาปลดล็อกครั้งแรกเราก็เลยคิดว่าเรามาทำปัดฝุ่นกันใหม่ เราก็เริ่มกลับมาทำคอนเทนต์กันใหม่ แต่คอนเทนต์มันยังไม่ออก เราก็เลยทำไลฟ์ขายของกันดีกว่า พอเราเริ่มปั๊บ เราก็ยังหาลูกค้าไม่ได้ จะขายอะไรดี พี่เคยเอาเสื้อผ้าไปขาย สาเหตุเพราะว่าการปลดล็อกครั้งที่ 1 ของโควิด ทางห้างแห่งนึงเขาให้พื้นที่กับคนในวงการแฟชั่นให้เอาของไปขาย โดยที่ไม่คิดค่าเช่า
แล้วมีน้องคนนึงเขาเอาไปขาย ฉันบอกว่าฉันมีเสื้อผ้าเยอะมากใส่ไม่ค่อยได้แล้ว บางทีมันก็เบื่อแล้วก็ขายตัวละ 500-1000-1500 จากตัวละ 4-5 หมื่น ดิฉันไม่เสียดาย ของนอกกาย อย่าไปเสียดาย ดิฉันไม่ได้อะไร ได้สิ่งนึงคือตู้ฉันไม่แตกแล้ว”
“ดิฉันไม่ได้เลิศหรูขนาดนั้น คุณไปสร้างภาพเองว่าดิฉันเลิศหรูขนาดนั้น (จะหมดตัวหรือเปล่า เลยต้องเอาของออกมาขาย?) ดิฉันทำงานมา 30-40 ปี คุณคิดว่าดิฉันจะไม่มีเงินเก็บเลยเหรอ ดิฉันใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทด้วย อย่างที่ขายรถ คือดิฉันมีรถตู้ เอาไว้สำหรับทำงาน เพราะมีคนขับรถ อันที่สอง ดิฉันมีรถสปอร์ตเอาไว้ใช้สำหรับวันที่ไม่มีคนขับรถ ดิฉันอยากได้รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ มือสอง 4-5 แสน แล้วซื้อเงินสดแล้วก็จบไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นรถสปอร์ตคันนี้ เพียงแค่พูดว่ารถสวย คนฟังเขาก็เลยซื้อให้
ดิฉันไม่ได้ซื้อเอง ยังมีเครื่องเพชรอีกเยอะแยะมากมายที่ไม่ได้ซื้อเอง รถสปอร์ตราคา 3.6 ล้าน จริงๆ มัน 3.8 ล้าน แต่เขาลดให้ รถสปอร์ตคันนี้อยู่มา 7 ปีใช้ไปหมื่นโล ฉันปฏิเสธว่าไม่เอา แต่เขาซื้อมาแล้ว ฉันก็บอกว่าไม่เอา มันเป็นสิ่งที่ใหญ่เกินไปที่มาให้ของที่มันเป็นล้านๆ ก็เพราะว่าเขารักฉัน จบ แต่ดิฉันไม่ได้รักเขา
ดิฉันเป็นกัลยาณมิตรกับเขาแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่อยู่ๆ เราไปเอาของเขานะ พอเราเริ่มรู้จักกัน ฉันให้เขาก่อนนะ ฉันให้ทั้งความรู้ การศึกษา ฉันให้ข้าวของ วันเกิดฉันให้แบรนด์เนม ฉันให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เรารู้จักที่จะให้เขาก่อน”
“นั่นคือ 7 ปีที่แล้ว ที่เขาซื้อรถให้ เสร็จแล้วพอหลังจากนั้นก็มารู้จักกับอีกคนนึง ก็รู้จักกันมา 3 ปี สนิทสนมกันระดับนึง ก็มีน้ำใจต่อกัน ก็มีอยู่วันนึงเขามาถามว่าทำไมไม่ใช้รถญี่ปุ่น ยี่ห้อนี้ละ ดีมากเลย ฉันก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ฉันไม่อยากมีภาระ เพราะว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีหนี้สินอะไรเลย เรื่องอะไรจะมาก่อหนี้ เขาบอกเอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวผมซื้อคันสีขาวสปอร์ตนี้ไป แล้วเงินที่เขาซื้อไปก็ไปออกรถญี่ปุ่นคันนี้ซะ
เราก็บอกถ้าอย่างนั้นโอเค เพราะรถสปอร์ตคันนี้มีคนรู้จักกันเอาไปฝากขาย 2 ปียังขายไม่ได้เลย อยู่มาวันนึงมีคนมาซื้ออย่างนี้ ดิฉันก็ขายเลยสิ เพราะมัน 7 ปีแล้ว หนึ่งคือการซ่อมมันจะแพง รถตู้อีก ก็เป็นการลดภาระ ขายไปเราก็ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจอกัน เราไม่ได้มีคอนแท็ก แต่เขาก็รู้อยู่แล้วเวลาทำอะไรฉันก็ลงสื่อให้คนเห็น (แล้วคนที่เป็นทอมละ?) ฉันก็เบื่อมากเลย ทำไมก็ไม่รู้ เวียนหัวเหมือนกัน คนนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ก็ไม่ได้ทำบุญด้วยอะไร เราต้องมีน้ำใจ คนเราไม่ใช่เป็นผู้รับอย่างเดียว ต้องรู้จักที่จะให้ก่อน”
ภาพ maornapa