Lamborghini Urus SE 2025 ปลั๊กอินไฮบริด 800 แรงม้า
Lamborghini Urus SE 2025 ซูเปอร์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์ ปิดตัวครั้งแรกในไทย ทรงพลังด้วยกำลังเครื่องรวม 800 แรงม้า เร่ง 0 – 100 ใน 3.4 วินาที วิ่งไกล ถึง 60 กม. ในโหมดไฟฟ้า เคาะราคาจำหน่ายเริ่มที่ 24.9 ล้านบาท
Lamborghini Urus SE 2025 ปลั๊กอินไฮบริด 800 แรงม้า
Lamborghini Urus SE 2025 ใหม่ ซูเปอร์เอสยูวี Plug-in Hybrid กำลังสูงสุด 800 แรงม้า (PS) ขับขี่ในโหมดไฟฟ้าไกลสุด 60 กม. เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร กำลังสูงสุด 620 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร ควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 192 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 483 นิวตัน-เมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
Lamborghini Urus SE สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.4 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลา 11.2 วินาที ความสูงสุดอยู่ที่ 312 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ขนาดความจุ 25.9 kWh สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนไกลสุด 60 กม. และทำความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 135 กม./ชม. มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 10 โหมดโดยสามารถควบคมุสั่งงานได้จากแผงควบคุม “Tamburo” ที่ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซล อาทิ Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง), Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออปชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge
มาพร้อมดีไซน์ใหม่ ที่เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ รวมทั้งยังได้รับเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น ช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขึ้น 35% ขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเทียบกับรุ่น Urus S ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ รวมถึงการออกแบบส่วนล่างของตัวรถที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและระบายความร้อนให้กับระบบเบรกสูงขึ้น 30% เมื่อเทียบกับระบบเก่า ทั้งล้ออัลลอย Galanthus ขนาด 23 นิ้ว พร้อมยาง Pirelli P Zero และสีตัวรถและออปชันการตกแต่งมากกว่า 100 องค์ประกอบ โดย Urus SE เพิ่มเติม 2 โทนสีใหม่ทั้ง Arancio Egon (สีส้ม) คู่กับห้องโดยสารสี Arancio Apodis (สีส้ม) และ Bianco Sapphirus (สีขาว) คู่กับห้องโดยสารสี Terra Kedrod (สีน้ำตาลแดง)
ภายในห้องโดยสาร Lamborghini Infotainment System (LIS) ทำงานร่วมกันระหว่างหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมอินเตอร์เฟซแบบใหม่ที่ยกมาจากรุ่น Revuelto และหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว รวมถึงติดตั้งแผงควบคุม “Tamburo” สำหรับเลือกโหมดการขับขี่ต่างๆ โดยมีโหมดพื้นฐาน 6 โหมด ได้แก่ Strada, Sport, Corsa, Neve, Sabbia และ Terra และอีก 4 โหมดไฮบริด ได้แก่ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge นอกจากนั้นออปชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบ และการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-citura stitching) พร้อมออปชันในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ราคาจำหน่ายของ Urus SE ในตลาดเมืองไทย จะมีราคาเริ่มต้นอยู๋ที่ 24.9 ล้านบาท