มาเเรง ไม่มีตก! BYD ยอดขายทะลุ 3 ล้านคัน ยอดจำหน่ายโตกว่า 60% ในปี 66
BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าEv จากประเทศจีน โดยได้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2015 และอีกครั้งในปี 2018 ซึ่งได้รับการตอบรับได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงในปี 2023 ที่ผ่าน BYD ยอดขายทะลุ 3 ล้านคัน ยอดจำหน่ายโตกว่า 60% เรียกว่า มาเเรงเเซงคู่เเข่งเลยจริงๆ
มาเเรง ไม่มีตก! BYD ยอดขายทะลุ 3 ล้านคัน ยอดจำหน่ายโตกว่า 60% ในปี 66
เป็นเรื่องราวจาก สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์รายงานเมื่อวันจันทร์ (1 ม.ค.) ว่า “BYD” แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีน ผู้จำหน่ายรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดรายใหญ่ที่สุดในโลก จำหน่ายรถยนต์ได้มากถึง 3.02 ล้านคันในปี 2566 เติบโต 61.9%
โดยบีวายดีจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้ประมาณ 1.6 ล้านคัน และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจำหน่ายได้ราว 1.4 ล้านคัน ส่วนในเดือนธ.ค. บีวายดีจำหน่ายรถอีวีและปลั๊กอินไฮบริดได้ 340,178 คัน ซึ่ง 190,754 คัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้า
ในไตรมาส 4 บีวายดีจำหน่ายรถยนต์ได้ทั้งสิ้น 431,600 คัน น้อยกว่าเทสลาเพียง 3,500 คัน ด้านบริดเจ็ต แมคคาร์ธีย์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการจีน กองทุนบริหารความเสี่ยงสโนว์บูลแคปิตอลในเสิ่นเจิ้น ที่ลงทุนทั้งในบีวายดีและเทสลาเผยว่า ภูมิทัศน์การแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์เปลี่ยนไปแล้ว ขึ้นอยู่กับความเร็วในการใช้นวัตกรรมและการตอกย้ำ ซึ่งบีวายดีเริ่มเตรียมการมาก่อนคนอื่น จนตอนนี้บริษัทที่เหลือต้องไล่ตาม
ทั้งนี้ เทสลาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกลาง SUV และ Model Y ที่ราคาประมาณ 65,400 ดอลลาร์ (ราว 2,400,000 บาท) ขณะที่บีวายดีจำหน่าย Atto 3 ที่ราคา 48,880-51,011 ดอลลาร์ (ราว 1,670,000-1,750,000บาท) ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่
สุดท้ายนี้ นักวิเคราะห์ทางด้านโลกของยานยนต์ ได้กล่าวว่า BYD มีข้อได้เปรียบ จากการเติบโตมาจากธุรกิจเดิมซึ่งก็คือแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่แพงที่สุดของยานยนต์ไฟฟ้า การสามารถผลิตและติดตั้งแบตเตอรี่ได้ครบจบภายในองค์กรช่วยให้ BYD ประหยัดเงินไปได้มหาศาล ขณะที่คู่แข่งหลายรายของ BYD ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากภายนอก และเสียต้นทุนในส่วนนี้สูงมาก