เปิดความจริง "ใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมัน" ในอาหารทอด มีสารก่อมะเร็งหรือไม่?
การเผยแพร่คำแนะนำ เรื่อง การใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากของทอด เป็นอันตรายต่อร่างกายและเป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่?
จากการเผยแพร่คำแนะนำ เรื่อง การใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากของทอด เป็นอันตรายต่อร่างกายและเป็นสารก่อมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขแล้ว โดยการเผยแพร่ข้อมูลที่ระบุว่า ห้ามใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากอาหาร เนื่องจากเสี่ยงได้รับโซดาไฟและสารไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวและชี้แจงว่า
ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าการใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันของทอดทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
กระดาษทิชชู (tissue paper) มีทั้งที่ผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (เยื่อกระดาษจากต้นไม้) และจากเยื่อเวียนใหม่ กระดาษทิชชูจึงแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามประโยชน์ใช้สอย เช่น กระดาษเช็ดหน้า กระดาษชำระ กระดาษเช็ดปาก กระดาษเช็ดมือ เป็นต้น สำหรับการผลิตกระดาษทิชชู จากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์จะมีการนำเยื่อกระดาษมาตีผสมกับน้ำ ฟอกเยื่อกระดาษให้มีสีขาวแล้วนำมารีดอบเป็นแผ่น
ส่วนการผลิตกระดาษทิชชูจากเยื่อเวียนใหม่จะมีการใช้สารโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโซดาไฟเพื่อตีปั่นวัตถุดิบให้เป็นเนื้อเยื่อกระดาษ และใช้สารคลอรีนไดออกไซด์ในกระบวนการฟอกขาว จากนั้นจึงนำไปผ่านกระบวนล้างทำความสะอาดเพื่อขจัดสารเคมีต่าง ๆ จนได้มาตรฐานก่อนรีดอบเป็นแผ่นต่อไป
สำหรับความกังวลเกี่ยวกับสารเคมีจากกระดาษทิชชูจะปนเปื้อนสู่อาหารหากนำมาใช้ซับน้ำมันในอาหารประเภททอดนั้น ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าการใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันของทอดทำให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์
อย่างไรก็ตามหากต้องการซับน้ำมันในอาหารควรเลือกใช้กระดาษที่ผลิตมาสำหรับใช้กับอาหารโดยเฉพาะเท่านั้น และควรเลือกใช้กระดาษทิชชูที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและควรใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ตามการใช้งาน
สรุป : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าการใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันของทอดทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง และหากต้องการซับน้ำมันในอาหารควรเลือกใช้กระดาษที่ผลิตมาสำหรับใช้กับอาหารโดยเฉพาะเท่านั้น และควรเลือกใช้กระดาษทิชชูที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ตามการใช้งาน
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ขอบคุณ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews